สวัสดีครับเพื่อนๆที่เข้ามาเยี่ยมชม Blog ขายส่งสินค้าราคาถูกสำหรับการค้าของผม ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวก่อนแล้วกันครับ ผมชื่อ เค ครับ ชื่อจริงก็ นายกมลชนก เนตรพระฤทธิ์ อ่ะหลายคนคงคิดว่าชื่อเหมือนผู้หญิงเลย ก็ครับแต่ แค่เหมือนแต่ชื่อนะคับ ผมเป็นผู้ชายจริงๆนะคะ ... นะครับ
จริงๆแล้วก็มีเรื่องตลกมากมายเกี่ยวชื่อ ของผม ถ้ามีโอกาสเล่าจะเล่าให้ฟังนะครับ ผมเป็นคนปทุมธานี ครับ และตอนนี้ก็ยังอยู่ปทุมธานีอยู่ไม่ได้ย้ายไปไหน ก็ไม่พลาดที่จะโดนน้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมา เพราะบ้านผมติดแม่น้ำ ก็เลย เต็มๆเลย
ด.ช. กมลชนก ภาพจริง |
ด.ช. กมลชนก กับ คุณ พ่อ |
การเรียนเด็กๆผมเรียนโรงเรียนประถม แถวๆบ้าน ชื่อโรงเรียนวัดโพธ์เลื่อน จากนั้นก็ไปเรียนต่อที่โรงเรียนอัมพรไพศาล จบ ประถม 6 แล้วย้ายไปเรียนในกรุงเทพ ม.1 - 3 ที่โรงเรียนโยธินบูรณะ มาต่อด้วยเทคนิคปทุมธานี ช่างกลโรงงาน แผนก ระเบิดปิงปอง (ล้อเล่นนะครับ) สุดท้ายก็ ป.ตรี ที่มหาลัยราชภัฏเพรชบุรี เอกพลศึกษา จริงๆจบมาสายครูพละ แต่ดันมาชอบ ธุรกิจค้าขาย และผมจะเล่าชีวิตค้าขายและประสบการณ์ของผมเองให้เพื่อนๆฟัง อาจเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยให้เพื่อนฟัง กับช่วงชีวิต หลายปี ที่ผ่านมา
พบกับ บริษัท น้ำอัดลมที่ทุกคนต้องเคยดื่ม
ก่อนที่ผมจะมาทำการค้าขายส่งสินค้าราคาถูกสำหรับพ่อค้า ก็ผ่านงานนู้นนี่นั้นตามประสา แต่ที่เปลี่ยนความคิดจากการทำงานประจำ มาเป็นพ่อค้า เพราะตอนอยู่ ป.ว.ช ต้องฝึกงาน ผมเลยได้มีโอกาสฝึกงาน ที่บริษัท ไทยน้ำทิพย์ (โค้ก ) เป็นพนักงานซ่อมบำรุง
วันแรกที่เข้าไปทำงาน เป็นทีน่าตื่นตาตื่นใจ เพราะผมได้เข้าไปชมการผลิตทุกขั้นตอนของ โค้ก ตั้งแต่ ต้นจนจบ ขวดโค้กเปล่าที่เราดื่มจากร้านค้าจะถูกขนส่งมาถึง ขบวนการล้างขวด ล้างเสร็จ ขวดจะใสสะอาดหมดจด ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยระบบความร้อน ก่อนจะไปถึง ขบวนการบรรจุน้ำ ขั้นตอนการบรรจุน้ำ รวดเร็วมาก ขวดจะถูกวิ่งไปตาม ลายผลิตผ่านการฉีดวันที่ผลิตอย่างแม่นยำที่ขวด แล้วจะถูกดึงขึ้นไประบบบรรจุน้ำและปิดฝา ตอนนั้นผมมีความประทับใจมาก เมื่อเดินผ่านขั้นตอนปิดฝา พนักงาน ที่อธิบายการทำงาน ก็ได้ส่ง โค้กที่ผลิตใหม่ๆสดๆ ให้พวกเรา และเปิดฝาดัง โป๊ะ
ภาพประกอบตัวอย่าง |
ภาพประกอบตัวอย่าง |
เป็นครั้งแรกที่ได้ดืมโค็กสดๆเย็นๆซ่าๆ ขนาดนี้ ในตอนนั้นให้ความรู้สึก อร่อย และเป็นสถานที่ๆ เจ๋งจริงๆ ครับการฝึกงาน 3 เดือนที่ให้ความรู้สึกเหมือนการทำงานประจำ เข้างาน 8.00 น ตอกบัตร เลิกงาน 17.00 น เนื้องานก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร ซ่อมนู้นซ่อมนี่ วันๆก็ได้กินโค้กทุกวัน (กินจนหายอยาก)และที่สำคัญตอนฝึกงานใกล้จะจบ พี่ที่ทำงาน ชวนเข้ามาทำงานด้วยกัน ใช้วุฒิ ปวช ได้เงิน 6,500 บาท แล้วเรียน ปวส ต่อเสาร์อาทิตย์ แล้วเอามาเทียบทีหลัง เงินเดือนก็อาจจะได้เพิ่มขึ้น
เพื่อนๆก็ยุกันว่าเอาเลย จบ ปวช ได้ทำงานเลยนะ ดีจะตาย แต่ผมเองคิดว่าถ้าต้องทำงานแบบนี้ จนถึงอายุ 60 คงไม่สนุกแน่ๆดูจากลุงๆที่อยู่ที่นี่ เขาก็มีความสุขดี งาน ดี มั่นคงแต่มันคงไม่เหมาะสำหรับผมที่เป็นคนอยากรู้อยากเห็นกับชีวิต ถ้าต้องมาหยุดลงกับงานประจำคงน่าเสียดาย ผมพึ่ง อายุได้ 18 เอง ผมกลับบ้านมานั่งคิดว่าถ้าเราจะไม่ทำงานประจำแล้วเราจะทำอะไรล่ะ ด้วยสมองของเด็ก 18 ในตอนนั้นที่เริ่มคิดอยากจะทำอาชีพอิสระ
มีเพียงอย่างเดียวที่คิดออกตอนนั้นคือ ขายของ ใช่ๆเราต้องหัดขายของ เด็กช่างกลกำลังจะคิดขายของ นั่งคิดอยู่นานว่าขายอะไรดีน้า และในที่สุดก็มาลงเอย กับ ขายมะม่วงพร้อมพริกกับเกลือ อ่านไม่ผิดครับ ผมขายมะม่วงจริงๆ เช้ามาตื่นไปซื้อม่ะม่วงที่ตลาดไทยแต่เช้า ซื้อมาประมาณ 50 กิโลกรัม มานั่งล้างนั่งปอกใส่ถุงให้แม่และน้องทำพริกกับเกลือให้ ถุงล่ะ 10 บาท และทำยำมะม่วงกับม่ะม่วงน้ำปลาหวาน ขายถุงล่ะ 20 บาท
ภาพประกอบตัวอย่าง |
ด้วยความตั้งใจ ผมก็เอาไปขายที่ตลาดนัด ด้วยความทีไม่เคยขายแถมอายด้วย เลยทำให้ตื่นเต้นมากเวลามีลูกค้ามาซื้อ ถอนเงินยังถอนผิดๆถูกๆ อายเมื่อคนรู้จักเดินมาเห็น แต่พอทำไปซักก็เริ่มชินกล้ามากขึ้น เรียกลูกค้ามากขึ้น หมดวันนั้น ผมขายมะม่วงหมด โอว้รู้สึกดีใจสุดๆ แต่พอกลับมานั่งคิดถ้าเราคิดเป็นค่าแรง ของน้องและแม่ที่คอยช่วย ค่าเดินทาง และการเสียเวลาทำ จริงๆแล้ว กำไรที่ได้นั้นไม่ได้เยอะอาจจะขาดทุนด้วยซ้ำ แต่ความรู้สึกที่ได้มานั้นกำไรเต็มๆเพราะรู้สึกว่าเราก็ขายของได้ ได้ความมั่นใจมาระดับนึง แต่ถ้าเราขายม่ะม่วงต่อไปคงไม่ไหวแน่
ภาพประกอบตัวอย่าง |
พอดีอาข้างบ้านเขาทำสลัดผักผลไม้พร้อมน้ำสลัด เขาถามว่าสนใจเอาไปขายไหม เขาส่งให้ 15 บาท ผมเอาไปขาย 20 บาท ผมจะได้กำไร 5 บาทต่อกล่อง อ่ะผมคิดว่าก็ดีนะสิไม่ต้องทำด้วยขายอย่างเดียว ผมเลยตกลงโดยการทดสอบเอาไปขาย 10 กล่องในตอนเช้าที่ตลาด ผมไปขายที่ตลาดปทุมธานี แต่เช้า 6.00 น เอาสลัดใส่ตะกร้าทำบุญไป มันรู้สึกตื่นเต้นมากกว่าเดิมซะอีก คนเยอะแยะแม่ค้าก็เยอะเดินไปมีแต่คนมอง ยิ่งสาวมองนี่ไม่ต้องพูดถึง อายม้วนต้วน จุดเปลี่ยนก็คือ มีผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง เดินมาถามว่า หนูจะไปทำบุญหรอจ๊ะ ผมตอบว่า ป่าวครับ มาขายของ แล้วหนูไม่เรียกบอกคนคนเขาก็ไม่รู้สิว่าหนูมาขายของ ไหนดูสิ เขาเอาสลัดที่แพคไว้ขึ้นมาดูแล้วถามว่า ขายแพคเท่าไหร่ ..... 20 บาทครับ งั้นป้าขอซื้อหมดเลย.... ป้าซื้อหมดเลย ตอนนั้นใส่ถุงแทบไม่ทันมือสั่น ใจสั่น ดีใจสุดๆ 200 บาท กลับบ้านด้วยความสุขใจ กับกำไร 50 บาทกับคุณค่าทางใจที่บอกไม่ถูก
ภาพประกอบตัวอย่าง |
วันที่ 2 ก็ไปขายอีก 10 กล่องทีนี้เริ่มกล้าเรียกคนมากขึ้น สลัดไหมครับ สลัดผักผลไม้รวม ใหม่ๆสดๆครับ ผมเดินไปรอบตลาดปทุมธานี มีทั้งแม่ค้าที่ซื้อและผู้คนที่มาซื้อกับข้าว แป็บเดียว หมด เวลายังไม่ 30 นาทีเลย หลังจากนั้น ผมเพิ่ม การเป็น 20 กล่องตอนเช้า ขายไปซักพักก็เพิ่มเป็น 40 กล่อง แล้วเพิ่มรอบตอนเย็น อีกรอบ อีก 40 กล่อง และก็ แตะ 100 กล่อง/วัน ผมทำเงินได้วันล่ะ 500 บาท แบงค์ 20 บาท เต็มลิ้นชักในห้องนอนผมเลย หลังจากนั้นผมเริ่มขายส่ง ให้กับร้านขายขนมที่ตัวจังหวัด และผมก็ไปขายที่ รังสิต เดินเข้าทุกซอย จนขายปลีกและขายส่ง ของผม ตกวันล่ะ เกือบ 300 กล่องทุกวัน รายได้วันนึง 1,000 บาทนิดๆ และผมเริ่มคิดจะขยายตลาดขายส่งให้กว้างขึ้นไปอีก
ทำแบบนี้ได้เกือบปี ผมก็ได้รับข่าวร้าย อา ที่ทำสลัดส่งให้ผม เขาเลิกทำ เหตุผลคือทำไม่ไหว เขาตื่นมาทำ 160 กล่อง ตอนตี 2เพื่อให้ทันผมเอาไปส่ง 6.00 น และต้องทำ ตอน 11.00 น เพื่อจะให้ทันผมไปส่งขายตอน 4 โมงเย็น เขาทำกับคนในบ้านทั้งหมด 4 คน จนเขารู้สึกว่าร่างกายเขาไม่ไหว บวกกับ จริงๆเขาเป็นคนมีฐานะ อยู่แล้ว เขาเลยไม่เป็นไรถ้าคิดจะเลิก แต่ปัญหาคือ ผมนะสิ รายได้ 1,000 กว่าบาทต่อวันที่เคยได้ มันหายไปเลยนะ แล้วอาแกก็เลิกทำจริงๆ ผมนั่งคิดแก้ปัญหาได้ซัก 1 อาทิตย์
เลยตัดสินใจทำเอง โดยเรียนรู้สูตรน้ำสลัดจากอา มาแล้วชวนเพื่อนๆมาช่วยทำ อีก 2 คนรวมผมด้วยเป็น 3 คน แบ่งหน้าที่กันทำ เราไปซื้อของกันที่ตลาดไทย แล้วกลับมาเตรียมการ ผมมีหน้าที่ ต้มทุกอย่าง อกไก้ต้ม , ถัวแดงต้ม ,ข้าวโพด, เผือก ,มัน,ไข่ไก่ต้ม, แค่อย่างไข่เดียวก็ เป็น 100 กว่าฟองแล้วต้องเสียเวลาปอกด้วย อกไก่ต้มก็ต้องมาฉีกเป็นฝอยๆ ส่วนเพื่อนก็จะล้างผัก ซอยผัก ซอยมะเขือเทศให้สวย พอของต้มนึ่งเสร็จก็มาช่วยกันหั่นเป็นชิ้นๆ ซึ่งทุกขั้นตอนเริ่มตั้งแต่ ตี 1 เสร็จประมาณ ตี 5.30 น ผมก็จะนำไปส่งและขาย รอบเย็นก็เหมือนกัน เจอกันตอน บ่ายโมงตรง ออกไปส่งและขายตอนเย็น 4.30 น วันแรกมันก็ไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่ แต่ทำไปก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
ผมสนุกกับงานมากที่ได้ทำกับเพื่อนๆ แต่รายได้นั้น มันไม่เหมือนตอนผมขายคนเดียวเลย เพราะ รายได้หาร 3 กำไร สลัดต่อ 1 กล่องประมาณ 10 บาท ได้ประมาณ 3 บาท ต่อกล่อง / คน แถมยังต้องทำเองด้วย ขายด้วย พูดง่ายๆทำเกือบทุกอย่าง แต่รายได้น้อยลงกว่าที่เคยได้ แต่ตอนนั้นไม่คิดไรมาก เพราะสนุกได้อยู่กับเพื่อนๆ เงินที่ได้มา เราก็กินเที่ยวกันหมดไม่เหลือเก็บ แล้วพอเปิดเทอม ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ร่างกายก็รับไม่ไหว ผมหลับในห้องเรียนประจำ เราเลยตกลงกันว่า ทำเฉพาะ เสาร์อาทิตย์ก็แล้วกัน แต่ก็ทำได้ไม่นานเพราะกิจกรรมของเพื่อนเริ่มไม่ตรงกัน เลยต้อง เอวัง ตัดใจเลิกทำเพราะสู้ไม่ไหว
ภาพประกอบตัวอย่าง |
ส่วนหนึ่งตอนเริ่มเรียน พละศึกษา เริ่มต้องใช้ร่างกายเยอะ เล่นกีฬา เป็นช่วงที่ต้องปรับตัว ระหว่างนั้นผมก็ขายสินค้า ประเภท ขายตรง แต่ก็รู้สึกไม่ค่อย ok สำหรับผม พอจบปี 2 ขึ้น ปี3 ผมตัดสินใจ ย้ายไปเรียนภาคพิเศษ เรียนเฉพาะเสาร์ อาทิตย์ ทำให้ผมมีเวลามากขึ้น จันทร์ถึงศุกร์ว่าง เลยหาไรทำอีก กลับมาคุยกับเพื่อนอีกกลุ่ม เลยตกลงขาย บะหมี่เกี้ยว ที่ซอยแถวบ้าน วันแรกๆขายดีมากเพราะในซอยไม่มีร้านบะหมี่เกี้ยวเลย เปิดเวลา 17.00 น - 23.00 น
ภาพประกอบตัวอย่าง |
ส่วนตอนเช้าทำน้ำเต้าหู้ขาย กำไรไม่ได้มากมายอะไรแต่ก็ได้เรื่อยๆ เงินจากการขายที่ของก็จะเป็นเงินกลุ่ม จะมาแบ่งกันทุกอาทิตย์ รายได้พออยู่ได้ มีเงินใช้มีเงินเที่ยว แต่ก็รู้สึกว่ามันน้อยอยู่ดี เลยคิดอะไรที่น่าจะดีกว่านี้
ภาพประกอบตัวอย่าง |
เลยไปเป็นพ่อค้าผลไม้ตลาดไทย เงินกองกลางที่ทำงานกับเพื่อนๆ เอาไปติดตะแกรงรถกระบะ ขับรถไปจันทบุรีไปซื้อ เงาะ ,มังคุด,ลองกอง, มาขายส่งที่ตลาดไทย เป็นประสบการณ์ที่สนุกดีเหมือนกัน ขายไปกินไป ขายไม่หมดก็ วิ่งรถขายปลีก เรื่อยๆ สุดท้ายถ้ายังเหลืออีกก็แจกจ่ายพี่น้องแถวบ้าน เป็นพ่อค้าผลไม้ได้พักนึงก็เริ่มเจอหน้าฝน เป็นหน้าที่ลำบากสุดๆสำหรับพ่อค้าแม่ค้าทุกคน ของเหลือเพียบ และสินค้าของเราเป็นผลไม้เก็บไว้นานก็ไม่ได้ ตลาดขายส่งผลไม่ลูกค้าของเราก็คือพ่อค้าแม่ค้าที่ซื้อไปขายปลีกกันอีกทีนึง เพราะฉะนั้นความใหม่สดและราคาสำคัญมาก ลูกค้าคนหนึ่งจะซื้อไม่ต่ำกว่า 30 โล การตัดราคามีให้เห็นเสมอ และที่สำคัญถ้าเรายังไม่ยอมลดราคาตาม เราก็จะขายไม่ได้ เป็นปัญหาที่เราไม่สามารถสู้เจ้าใหญ่ๆได้ เพราะต้นทุนเขามาถูกกว่า เราจึงได้แต่หลีกเลี่ยงที่จะปะทะกับลายผลไม้ที่เขาเอามาเยอะๆ แต่สุดท้ายทำได้อีกไม่นาน ก็ต้องเลิกกิจการไป
ส่วนหนึ่งอาจเพราะใจสู้ไม่ไหวเราอาจติดสบายเกินไป เพราะการไปขายส่งตลาดไทยในช่วงนั้น ลูกค้าจะมาซื้อกันตั้งแต่ ตี 1 ถึง ตี 5 เราก็ต้องกินอยู่กันในรถ พอลูกค้ามาซื้อก็ช่วยกันโกยใส่ถุง และช่วงลำบากสุดก็คือตอนเช้าเข้าห้องน้ำ คนจะเยอะมาก ทั้งแรงงานพม่า ลาว ต้องต่อคิวเข้ากันแย่งกัน ตอนผมอยู่ในห้องน้ำมันก็ทุบห้องกันตลอด ตะโกนเสร็จยังๆ ผมคิดว่า เราต้องมาลำบากขนาดนี้เลยหรอว่ะเนี้ย
ผมเลยมาคิดถึงการทำงานที่ผ่านมา ผมว่าผมขายของเป็นแล้วล่ะ แต่ใครๆเขาก็ขายเป็นทั้งนั้น ถ้าขายอยู่แบบนี้ สู้ทำงานประจำดีกว่าไหม ไม่เหนื่อย ไม่ร้อน ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องเครียด อืมแล้วเราขาดอะไรไปล่ะที่จะทำให้เราแตกต่าง คนรวยเขารวยกันยังไง เขาทำยังไงกัน ทางออกคือ เราต้องหาความรู้ใส่ตัว ครับผมเริ่มอ่านหนังสือธุรกิจมากขึ้น ช่วงนั้น หนังสือพ่อรวยสอนลูก เล่ม 1 พึ่งออกมาใหม่ๆ เป็นหนังสือที่เปิดโลกของผมให้กว้างขึ้น ทำให้รู้จัก การเป็นนายหน้า, หุ้น ,ธุรกิจ จากเล่ม 1 ผมก็ได้อ่านทุกเล่มของพ่อรวยสอนลูก และได้อ่านหนังสืออื่นๆอีกมาก
ภาพประกอบตัวอย่าง |
ภาพตัวอย่างประกอบงาน Blow Count |
ภาพประกอบ จริง งาน Blow Count |
และช่วงนั้นผมก็ได้ทำงาน บริษัท เกี่ยวกับออกแบบตกแต่งภายในไปด้วย เป็นพนักงานขับรถส่งของส่งช่างไปตามบ้านลูกค้า ทำไปได้พักนึง ผมก็ทำงานรับเหมา เช็คการตอกเสาเข็ม Blow Count ตอนนั้นได้ต้นล่ะ 40 บาท งานนึงก็ 1,000 กว่าต้น พองานเริ่มออกต่างจังหวัด ผมก็ไปไม่ไหวเพราะเสาร์อาทิตย์ยังต้องเรียนอยู่ จากนั้น ผมก็ บวช หลังจากนั้นผมก็มาทำงานกีฬาเป็นผู้ดูแลนักกีฬาตอนไปแข่งต่างจังหวัด และเรียนจบ ป.ตรี 2548 ตอนนั้น อายุ 24 ปี
งานเลี้ยง บ้าน ป๋าเหนาะ เสนาะ เทียนทอง |
เค กับ สืบศักดิ์ ผันสืบ นักตะกร้อทีมชาติ |
กับศิริมงคลตอนได้แชมป์โลกใหม่ๆ |
กับ พยัคฆ์หน้าขรึม วีระพล นครหลวงโปรโมชั่น |
บิ๊กหอย ธวัชชัย สัจจกุล |
กับนักกีฬาชกมวย |
กับนักตะกร้อ |
รับ ป.ตรี ครุศาสตร์บัณฑิต เอก พลศึกษา |
รูปครอบครัว พ่อ แม่ พี่สาว หลานชาย |
หัดเล่นหุ้น
ก่อนหน้านั้นตั้งแต่อ่านหนังสือพ่อรวยสอนลูก ผมก็หัดเล่นหุ้นบ้างช่วงแรกหัด จากหุ้นจำลองของ web pantip.com และก็เปิดบัญชีเล่นกับโบรกเกอร์ ซีมิโก้ ใช้เล่นผ่านอินเตอร์เนต ช่วงนั้นก็เล่นกับหุ้นราคาถูกๆพวก susco และช่วงนั้น เวิร์คพอยท์ พึ่งเข้าตลาดใหม่ๆผมก็ซื้อกับเขาไว้เหมือนกัน ด้วยความที่อ่อนประสบการณ์ ผมก็เหมือนแมลงเม่าทั่วไปกำไรขาดทุนปนๆกันไป ไปหมดเงินจริงกับ PTTAR ก่อนเข้าตลาดกระแสแรงมาก นั้นแหละผมโดนไปเต็มๆเลย คิดว่าการเล่นหุ้นถ้าความรู้เรายังไม่แน่นพอก็ไม่ต่างกับการเล่นพนัน แต่ถ้าศึกษาจนพร้อมผมคิดว่าเป็นการลงทุนที่ดีเลยทีเดียว ผมก็เลยเลือกเก็บหุ้นที่คิดว่า ok แล้วเลิกเล่นแบบ day trad
อาชีพ นายหน้า ขายบ้านและที่ดิน
ตอนนี้เรียนจบผมมีเวลามากขึ้นผมได้ไปอบรมนายหน้าขายบ้านและที่ดิน ของ ERA และมาทำงานกับอาที่เป็นนายหน้าขายที่ดินท้องถิ่น ขณะทำงานผมมีหน้าที่ไปดูทีดินพาลูกค้าไปดูที่ดินเก็บข้อมูลทำแผนที่ ได้เจอผู้คนมากมายทั้งจริงใจและหลอกลวง เลยเข้าใจว่าธุรกิจนี้ทำไมยิงกันตายบ่อยๆ มันเป็นเรื่องของเงินที่ทำให้ทุกฝ่ายเกิดความโลภ อีกมุมหนึ่งผมก็ได้ไปเจอนักธุรกิจที่เคยประสบความสำเร็จ แต่ตอนนี้หมดตัวต้องเอาที่ดินมาขายก็มีเยอะ มีแต่คนขาย คนซื้อหายากมาก แต่ในระยะเวลาปีกว่าๆก็ขายได้บ้าง ได้จับเงินก้อนหลักแสนเป็นครั้งแรกที่ได้เป็นก้อนๆ แต่ก็ลุ้นกันซะเหนื่อยและผมก็คิดว่าถ้ามันขายไม่ได้ล่ะ ที่วิ่งมาปีกว่า = ไม่ได้เงินเลยนะ ได้ประสบการณ์เยอะ แต่ไม่ได้เงินก็แย่เหมือนกัน ชั่วโมงนั้นจำได้ว่า เงินเก็บเหลือน้อยมากๆ เลย ต้องขอบคุณอาที่ช่วยสั่งสอนงานนายหน้า
รูปนี้ ถ่ายกับ อา ที่สอนงาน นายหน้าที่ดิน และอาเป็นอดีต รองนายกสมาคมกีฬาจังหวัดปทุมธานี และอดีต กรรมการบริหาร สมาคมเปตองแห่งประเทศไทย ปัจจุบัน ได้ชนะการ เลือกตั้งเป็นนายก อ.บ.ต. บ้านกระแชง จ. ปทุมธานี เมื่อ 22 มกราคม 2555 ด้วยคะแนนเสียงท้วมท้น
บทเรียนหุ้นส่วนบริษัท
และผมก็แยกตัวออกมาจาก อา เอาเงินที่ได้จากนายหน้าขายที่ดินซื้อหุ้น AOT 3000 หุ้น ผมซื้อได้ถูกเพราะพ่อของผมเป็นพนักงานในนั้น เขาเปิดขายให้พนักงานราคาพิเศษผมก็ขอซื้อต่อจากพ่ออีกที และผมก็ไปทำบริษัทผลิตงานแสตนเลสให้กับโรงงาน ซึ่งผมหุ้นส่วนด้วย 10% ก็เอาเงินที่เหลือจากนายหน้ามาหุ้น ผมได้เงินเดือน 8,500 บาท ทำงานเป็นคนออกแบบเขียนแบบงานก่อนผลิต งานที่ทำเป็น งานรถเข็น ตู้ ทุกอย่างเป็นแสตนเลสหมด ส่งให้กับโรงงานในย่านบางกะดี ช่วง 3-5 เดือนแรก รายได้น้อยมาก ต้องประหยัดกันสุดๆ เพราะสินค้าที่ส่งไป กว่าจะเก็บเงินได้ใช้เวลา 30 วัน
แต่หลังจากนั้น กำไรต่อเดือน ไม่ต่ำกว่า 500,000 ทุกเดือน เดือนหลังๆ ก็เริ่มแตะ 1 ล้าน กับพนักงานและหุ้นส่วนไม่กี่คน ผมในตอนนั้น ด้านการเงินไม่มีปัญหา ได้เงินเดือน 8,500 บาท กับปันผล ต่อเดือน 2-4 หมื่นบาท แล้วแต่เดือน แต่ด้านเวลาผมไม่มีเลย มีวันอาทิตย์วันเดียว งานเขียนแบบออกแบบเป็นงานที่มีความกดดัน เพราะผิดไม่ได้ เกิดสั่งผลิตไปแล้วแบบผิดมันแก้ไขไม่ได้ทางโรงงานก็ไม่รับ
ผมก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบ และงานเยอะ ผมต้องเขียนแบบทั้งวัน กลับเอามาทำที่บ้านด้วย พนักงานกับผู้ถือหุ้นก็เป็นญาติกัน ไม่มีใครเขียนแบบในคอมเป็น ผมเลยต้องรับงานนี้เต็มๆ พอเลิกงานวันเสาร์ผมก็เที่ยวให้มันผ่อนคลายบ้าง ผมก็คิดอีกว่า จะมีประโยชน์ยังไง มีเงินแต่ไม่มีเวลาใช้ ขยับไปไหนก็ไม่ได้ นี่เพราะไม่มีแฟนนะเลยทุ่มเทได้ขนาดนี้
ผมทุ่มเทกับบริษัทนี้มาก เพราะคิดว่าเป็นญาติกัน ช่วงแรกๆบริษัทไม่มีรายได้ ผมก็ไปเจรจาขอเช่าที่ทำงานจาก คนรู้จัก และอุปกรณ์โต๊ะ และคอมผมก็เป็นคนจัดหา โดยไม่เกี่ยวกับบริษัท จุดเปลี่ยนของบริษัทก็คือ การเข้ามาใหม่ของผู้จัดการคนใหม่ ตอนแรกผมดีใจที่ได้ผู้จัดการมีความรู้จบนอกมาเป็นผู้จัดการ
เพราะก่อนหน้านี้ ผู้จัดการคนเก่ามาพูดคุยกับผมและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เสนอให้ผมเป็นผู้จัดการ แต่ด้วยความที่ผมเกรงใจพี่ๆและญาติ ผมอายุน้อยที่สุดในที่ทำงานและวุฒิภาวะอาจจะไม่เหมาะผมเลยไม่รับเป็น ผู้จัดการคนใหม่เข้ามาผมก็รู้สึกดี แต่การบริหารของเขา เข้ามาปรับเปลี่ยนการทำงาน เขาไม่ให้ผมต้องเจอลูกค้าโดยตรง แต่ให้ผ่านเขา มันทำให้การออกแบบมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนกับลูกค้า เพราะเขาอาจมองว่าผมเป็นเด็กให้รับผิดชอบงานหลักได้ยังไง
ผมก็เข้าใจแต่ที่ผ่านมาผมก็ทำมาตลอด และผู้จัดการคนนี้ เขาก็ถือหุ้น 10% ก่อนที่จะเข้ามาเป็นผู้จัดการ เขาก็ได้รับปันผลทุกเดือน การปรับเปลี่ยโครงสร้างการทำงานเริ่มทำให้พนักงานบางคนไม่พอใจ เริ่มมีการทะเลาะกันบ้าง หลังๆบรรยากาศในที่ทำงานไม่เหมือนเดิม มันมีความรู้สึกกดดัน ใครทำผิดก็โดนต่อว่า พนักงานแบ่งกันเป็นกลุ่มๆ ตอนนี้ บริษัทเปิดมาได้เกือบ 2 ปี รายได้จากกำไรเพิ่มขึ้นแต่ความสุขจากการทำงานลดลง จนผมกับพี่ซึ่งเป็นจัดซื้อ ตัดสินใจลาออก เพราะถ้าทำนานไปกว่านี้พี่แก คงจะชกกับผู้จัดการ ผมต้องคอยห้ามอยู่บ่อยๆ
ก่อนที่ผมกับพี่จะลาออก ได้ดูยอดกำไรสะสมที่จะปันผลออกมาให้กับผู้ถือหุ้น กำไรประมาณ 1.6ล้านบาท ผมกํบพี่ก็คิดว่าอย่างน้อยปันผลครั้งนี้ต้องได้ไม่ต่ำกว่า 1.2แสนบาท อย่างน้อยก็เอาไปตั้งหลักกันใหม่ เมื่อปิดงบเดือนนั้นเราถอนหุ้น 10%ของเราออก และรอรับเงินปันผล แต่ต้องรออีกประมาณ 2เดือน และแล้ว เราได้ข่าวว่าเขาย้ายที่ทำงานใหม่ ผมไปกับพี่เพื่อไปรับเช็คปันผล เราได้ไปที่ทำงานใหม่ พึ่งทำเสร็จ สีแทบยังไม่แห้งติดแอร์ใหม่ซอยห้องและโต๊ะทำงานพนักงานใหม่ เมื่อพบฝ่ายการเงิน เขาบอกว่าผู้จัดการ เขียนเช็คไว้ให้แล้ว เราก็คิดในใจว่าอืมจบๆกันไปซะที
แต่พอรับเช็ค แล้วดูตัวเลข ....15,000 บาท อ้าวเฮ้ยทำไมได้แค่นี้ล่ะ เราเลยอยู่รอผู้จัดการเพื่อคุยกันเรื่องนี้ พอได้พูดคุยเขาบอกว่า ก่อนจะปันผลเขาต้องหักค่าใช้จ่าย พอหักแล้วก็เหลือเท่านี้แหล่ะ ผมเลยหันไปถามญาติผมคนนึงที่อยู่ในห้องนั้นและถือหุ้น 10 % เท่าผม ผมถามว่าเมื่อปันผลที่ผ่านมา พี่ได้เท่าไหร่ เขาก็อึกๆอักๆไม่กล้าตอบ ผมก็บอกว่าผมต้องได้เท่าพี่ แต่ผู้จัดการบอกว่าผมไม่ได้มาทำงาน ตั้ง 2 เดือนแล้วจะได้เท่าเขาได้ยังไง ผมก็บอกนี่เป็นเงินคนล่ะส่วนกันนี่มันเป็นเงินที่ผมหุ้นส่วน 10 % ผมก็ต้องได้รับในส่วนที่ผมหุ้น ไม่เกี่ยวกับการไม่มาทำงาน ไม่มาทำงานผมก็ไม่ได้เงินเดือน แล้วผมก็ลาออกไปแล้วด้วย ตอนที่คุณยังไม่ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการ บริษัทยังจ่ายปันผลให้คุณเลย จิงไหม
เขาก็เงียบไปแต่เขาบอกว่าเขามีสิทธิ์ที่จะให้ปันผลเท่านี้ และถ้าไม่เอาก็ไม่มีให้มากไปกว่านี้ ผมเลยไปดูบัญชีรายรับรายจ่าย ปรากฎว่า 2 เดือนที่ผ่านมาเขาเอาเงินมาทำสัญญาเช่าที่ทำงานใหม่ และจ่ายค่าอุปกรณ์สำนักงานต่างๆ แต่ปันผลให้กับผู้ถือหุ้นต่างๆ เต็มจำนวน แล้วค่อยมาหักลบกับค่าใช่จ่าย แล้วก็มาปันผลให้ผม ใช่เขามีสิทธิ์ที่จะทำแบบนั้นถูกต้อง แต่ เขาไม่มีน้ำใจ ผมเจ็บใจมาก นี่หรือสิ่งที่เราทุ่มเท อยากจะตะโกนออกมาดังๆ ว่ามึงทำไมทำแบบนี้ แต่ก็พยายามห้ามใจ เดินออกมา พี่ถามว่าจะเอาไงจะแจ้งความหรือปรึกษาใครไหม ผมบอกช่างเถอะพี่ ทำไปยังไงมันก็ญาติเราบางส่วน อายคนอื่นเขา ผมได้มาเข้าใจว่า หุ้นส่วนกับเพื่อนหุ้นส่วนกับญาติผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใครที่เขาบอกว่าให้ระวัง ได้เจอกับตัวถึงเข้าใจ ได้แต่บอกกับตัวเองว่าดีแล้วที่ออกมาถ้าอยู่ไปเงินเยอะกว่านี้ผลประโยชน์เยอะกว่านี้ คงฆ่ากันตาย
ผมเดินออกมากับเงินแสนที่หายไปพริบตาเงินที่จะเอาไปลงทุนต่อหายไปส่วนเงินเก็บก็ซื้อของกับให้พ่อให้แม่ไปบางส่วนและตอนที่ออกมาใหม่ๆอยากพักสมองเลยไปเที่ยวต่างจังหวัดคนเดียวมาหลายอาทิตย์เงินส่วนนั้นก็ใช้ไปกับการคลายเครียดหมด เงินติดตัวเหลืออยู่ไม่ถึง 5,000 บาท เมื่องานไม่มีเงินไม่มี มันหวิวๆไม่รู้จะเริ่มต้นอะไร อยู่กับอารมณ์หลายอย่าง ตอนที่มันว่างจัด คิดขึ้นมาก็เสียดายไม่น่าออกมาเลย เดี๋ยวก็คิดโกรธแค้นที่ความรู้สึกเหมือนโดนโกง มันจี๊ดทุกครั้งที่ลูกค้าโทรเข้ามาหาผมให้ผมเข้าไปออกแบบให้หน่อย บางคนไม่รู้ว่าผมออกไปแล้ว ..... ถึงจุดหนึ่งผมก็ทำใจและก็อโหสิกรรมให้ไม่มีเวรต่อกันถ้าเราติดค้างเขาก็ถือว่าเราชดใช้ให้ไปก็แล้วกัน
มาเริ่มกันใหม่ ตอนนี้ผมก็ 26 ปีกว่าๆ เพื่อนๆที่จบมาหลายคนก็เริ่มเป็นข้าราชการครูกันหลายคนแต่ผมก็ไม่อยากทำงานประจำอยู่ดี ช่วงนี้ผมอ่านหนังสือเยอะขึ้น ออกกำลังกายมากขึ้น เป็นช่วงเวลาที่ต้องดูแลตัวเองผมตัดใจขาย หุ้น ไปบางส่วนเพื่อมาดำรงชีวิตในยามที่ไม่มีรายได้
เกือบได้เปิดสนาม BB GUN
รูปประกอบตัวอย่าง |
ดูคลิปวีดีโอ BB GUN ได้ที่ http://youtu.be/FCBrxG7fAM4
ส่วนคลิปวีดีโอ อันนี้เป็นคลิป อวยพรวันเกิดให้เพื่อน http://youtu.be/djvcS9zZ5nM
คลิปดังกล่าว ออกแบบคร่าวๆ ด้วย 3 D Google Sketchup (ก็งูๆปลาๆนะครับ อ่านจากหนังสือแล้วหัดเขียน )
เริ่มสนใจการค้าขายผ่านอินเตอร์เนต
แล้วผมก็เริ่มสนใจกับการทำงานขายโดยใช้อินเตอร์เนต ผมอ่านมากขึ้นโดยเฉพาะ การทำเว็บ การเขียน blog การขายสินค้า คือการทำงานในอินเตอร์เนตมีข้อดีหลายอย่าง คือ ทำงานอยู่กับบ้านได้ ไม่ต้องเดินทาง และอีกหลายๆอย่าง และการทำงานในอินเตอร์เนต มีหลายด้านแล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน ในตอนแรกผมสนใจงานทางด้าน Affiliate marketing อธิบายง่ายคือ การเป็นนายหน้าขายสินค้าให้กับ web ต่างประเทศ ซึ่งต้องใช้ความรู้ทางด้าน เขียนเว็บ โปรโมท ภาษาอังกฤษ :ซึ่งผมไม่มีเลย ผมทดลองทำอยู่นาน ชวนเพื่อมาร่วมทำด้วยเพราะ คนหนึ่งเก่งอังกฤษ คนหนึ่งเก่งคอมพิวเตอร์ แต่ยังไม่ทันได้เริ่มทำ ก็น็อคตั้งแต่ยกแรก เพราะเพื่อนที่เก่งอังกฤษไม่มีเวลา เพื่อนที่เก่งคอมก็เริ่มงานยุ่ง ผมเลยต้องเริ่มด้วยตัวคนเดียวในทุกด้าน
รูปภาพประกอบตัวอย่าง |
ตอนนั้นอายุ 27 ปี ผมก็วุ่นกับการทดลองทำงาน Affiliate marketing และในที่สุดผมก็ได้เช็คใบแรก $260 จาก web clickbank.com มันทำให้เริ่มมีประกายความคิดที่ว่า งานในอินเตอร์เนตทำเงินได้จริงๆ ผมเริ่มหัดขายแบบงูๆปลาหลายแบบ แต่ งาน Affiliate marketing มันยากเกินไปสำหรับผมที่มีความรู้พื้นฐานน้อยมากๆผมจึงต้องค้นหาว่าอะไรที่เหมาะกับผม กับงานขายทาง อินเตอร์เนต
K body fit ขายวิตามินและเวย์โปรตีน ผ่านอินเตอร์เนต
ผมเลยเริ่มขายอะไรในประเทศบ้าง และก็ได้มาทำ blog ขายวิตามินอาหารเสริม http://kbody-fit.blogspot.com เป็น blog แรกที่ทำและก็เริ่มมีคนเข้ามาซื้อบ้าง เป็นการค้าขายที่มีความรู้สึกแปลกใหม่ ที่ผมและลูกค้าไม่เห็นหน้ากัน ไม่เห็นสินค้า และลูกค้าต้องโอนเงินมาให้ผมก่อน หลังจากนั้นผมก็จะจัดส่งสินค้าพร้อมกับ โทรแจ้ง รหัส EMS ตอนแรกๆผมก็คิดว่าจะขายได้หรอ จะมีใครกล้าโอนเงิน ถ้าเป็นเราจะกล้าไหม ดังนั้นการค้าขายแบบนี้ ต้องจริงใจ รวดเร็ว และทำให้ลูกค้าสบายใจที่สุด
การตลาดใช้วิธี chat msn เปิดกล้อง ชวนลูกค้าบ้าง เดินแจกใบปลิวและนามบัตร รายได้แค่พออยู่ได้ ตอนนั้นตลาดวิตามินกำไรดีเพราะมีคนเอามาขายน้อยและวิตามินบ้านเราก็แพงมาก แต่ไม่นาน คนขายก็เยอะขึ้นจนผมต้องเลิกขายไปเพราะกำไรมันน้อยเพราะผมไม่ได้รับมาจากต่างประเทศโดยตรงทำให้ต้นทุนมาแพง ไม่สามารถแข่งกับคนที่เอาเข้ามาจากต่างประเทศโดยตรงได้ แต่ผมก็ยังจัดสินค้าให้ลูกค้าประจำและสุดท้ายก็ให้ติดต่อกับเจ้าที่ผมสั่งซื้อโดยตรง
รูปภาพประกอบจริง K body fit |
เวย์โปนตีนไหมครับ |
ต้องฟิตกันหน่อย พ่อค้าขายวิตามิน |
ขอบคุณครับลูกค้าที่เคยอุดหนุนกัน |
FOREX : พบกับการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนเร็วที่สุดในโลก
มาถึงตอนนี้หัวเริ่มตันอีกครั้งหนึ่งจนได้มาเจอการลงทุนที่คล้ายๆหุ้นแต่ ได้เสียกันรวดเร็วที่สุด นั้นคือ Forex การขายค่าเงิน ซึ่งทำกำไรได้อย่างรวดเร็วและก็ขาดทุนได้ในพริบตาเหมือนกัน เพื่อนออนไลท์ของผม เล่นได้เป็น 1 แสนบาทต่อวัน แต่นั้นเขามีเงินทุน เป็นล้าน
ผมอ่านทำความเข้าใจได้ไม่นานก็เริ่มลงสู่สนามจริง ด้วยการ ขายหุ้น AOT เกือบทั้งหมด แล้วนำมาเริ่มต้นใหม่กับ Forex ซึ่งคุณสามารถทำการซื้อขายได้ตลอดเวลา จันทร์-ศุกร์ ผมเริ่มต้นกับโบรกเกอร์ Marketiva ด้วยจำนวนเงิน $1,000 เล่นแบบปลอดภัยสุดๆ ผมได้เงินทุกวัน วันล่ะ 500 - 1,500 บาท เงินต้นลงประมาณ 35% ประมาณ 10,000 บาท ได้กำไร 5 - 15 % ทุกวัน
ตอนนั้นผมรู้สึกว่า มันง่ายดี แฮะ ง่ายกว่าหุ้นอีก จะซื้อขึ้นหรือลงก็ได้ จากนั้นวงเงินการเล่นของผมก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ จากการที่ได้เงินมาง่าย แน่นอน ฝีมือผมไม่ใช่ขั้นเทพ ไม่นานผมก็เสียเงินไปอย่างง่ายๆ เหมือนตอนได้เงิน การเล่น forex สำคัญสุดคือการมีวินัยกับตัวเอง ต้องอย่าเล่นด้วยความโลภ ต้องมีสติตลอดเวลา ที่ผมพูดมาคือ ตอนนั้นผมทำไม่ได้อ่ะ forex ทำให้รวยได้ และจนได้ ในเวลาแป็บเดียว ซักวันหนึ่งถ้าความรู้แน่น ใจนิ่ง ผมจะกลับมาใหม่กับเงินที่ เล่นได้ เล่นเสีย แล้วไม่เดือดร้อนแต่ตอนนี้ขอพักยกไปฟิตก่อนนะครับ
คำขอโทษ ที่ไร้ความรู้สึก
คืนวันหนึ่ง อยู่ๆก็มีโทรศัพท์เข้ามา ปรากฎว่าเป็นผู้จัดการ สมัยตอนที่ผมทำงานออกแบบ เขาโทรมาขอโทษและพูดทำนองว่าเราน่าจะได้ร่วมงานกันนานกว่านี้ และก็พูดคุยเรื่องเก่าๆ ผมก็บอกว่าไม่เป็นไรครับ มันจบไปแล้วผมไม่ติดใจอะไรครับ พี่สบายใจได้โชคดีนะครับ คำขอโทษของเขาไม่ทำให้ผมรู้สึกอะไร เพราะตอนนั้นหลังจากทีออกมา ผมก็ทำใจผมก็อโหสิ และเลิกคิดไปนานแล้ว
หลังจากวันนั้นผมโทรไปหาพนักงาน ก็ได้รู้มาว่าเขามีการทะเลาะกันและในที่สุดผู้จัดการก็ลาออก อีกไม่กี่วันญาติผมที่ทำงานอยู่ในนั้นมาหาผมที่บ้านแล้วชวนกลับไปทำงานที่บริษัท ผมก็พูดตรงๆเลยว่า สิ่งที่พี่ทำกับผม เป็นพี่ พี่จะรู้สึกอย่างไร และยังจะกลับไปทำงานอีกไหม พี่เขาก็เงียบไปเลย ช่วงนั้นบริษัท ก็ทำงานอยู่ได้แต่ยอดขายตกลง และในที่สุดก็ต้องปิดตัวลงไป จริงๆถ้า บริหารงานดีๆเป็นระบบ ผมคิดว่า บริษัทนี้น่าจะทำเงินได้มากเลยทีเดียวแต่ต้องมาจบเพราะคำว่าผลประโยชน์ ที่ต่างคนคิดว่าตัวเองเก่ง ก็เลยต้อง GAME OVER
เริ่มต้นใหม่กับ Ebay
มาเริ่มต้นกันใหม่กับงาน ebay ผมเริ่มหัดขายสินค้าไทยใน web ebay ซื้อหนังสือมาอ่านแล้วทำตามและหาข้อมูลเพิ่มเติมตลอดเวลา ร้านผมชื่อ sky_thailand ด้วยแนวคิดที่ว่าใต้ฟ้าเมืองไทย คุณซื้อสินค้าไทยได้ง่ายๆไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก
โลโก้ร้าน |
ในช่วงแรกๆสินค้าขายไม่ได้เลยเพราะ เรายัง 0 feedback เรื่อง ฮาๆของผมก็คือ ผมเอารูปเพื่อนๆผมที่อยู่ในกล้อง เอาไปประมูลขาย เริ่มต้นที่ $ 0.01 แล้วมันขายได้ บางรูปขายได้ ถึง $ 2 = 60 บาทไทย ผมก็จัดส่งโดยการส่ง Email ให้ลูกค้าหลังจากได้รับเงิน แล้วแอบคิดว่าถ้าเราเอารูปลงขายเยอะๆแค่นี้ก็ได้เงินแล้ว แต่พอไปอ่านกฎระเบียบของ ebay เขาเริ่มห้ามการขายแบบนี้ถ้าจับได้จะปิดบัญชี !แป่ว
พบกับนักสะสมระดับประเทศ
ผมเลยเลิกขายรูป เพราะกลัวโดนปิด แต่ผมก็ได้ feedback มาประมาณ 10 กว่าแล้ว ผมก็เริ่มหาสินค้ามาขาย มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาสินค้าไปขายใน ebay เพราะคนไทยหลายคนก็ขาย มันต้องเป็นสินค้าที่โดนใจและสามารถทำกำไรได้
ผมก็ลองขายอยูหลายอย่าง ขายได้บ้างไม่ได้บ้าง จนในที่สุดผมก็มาเจอ พระเอก ผมได้รู้จักลุงคนหนึ่งที่เป็นนักสะสม มาเปิดร้านในปทุมธานี สินค้าของลุงส่วนมากเป็นหินแปลก ที่แกสะสมมาตลอดชีวิต แต่ที่ผมสนใจจริงๆไม่ใช่หิน ผมได้เจอของสะสมเก่าๆที่ผมไม่เคยเห็นมากมาย ผมพยายาม เก็บข้อมูลสินค้าแล้วนำมาเปรียบเทียบกับสินค้าที่ขายกันใน ebay ของบางอย่างลุงก็ขายแพงเพราะซื้อมาจากต่างประเทศ ต่างประเทศถูกกว่าของลุง แต่ที่ผมไปเจอและคิดว่าน่าจะขายได้คือ ฉลากกล่องไม้ขีดเก่าญี่ปุ่น old matchbox label japan ผมดูใน ebay มีคนขายแต่ไม่เยอะมาก และไม่มีคนไทยขายเลย
ถ่ายคู่กับ คุณลุง บรรยง เลิศนิมิตร นักสะสมระดับประเทศ |
การได้พบกับ คุณลุง บรรยง เลิศนิมิตร เป็นการเปิดโลกแห่งการสะสมอย่างแท้จริง เพราะคุณลุงมีความเชี่ยวชาญด้านการสะสม ผมตั้งใจฟังที่คุณลุงถ่ายทอดประสบการณ์ การสะสมของโบราณต่างๆที่น้อยคนจะได้รับรู้หรือได้เห็น ผมได้ศึกษาพูดคุยกับคุณลุงอยู่หลายเดือน ทั้งเรื่อง อดีต การทำธุรกิจ การใช้ชีวิตของคุณลุงผจญภัย และน่าตื่นเต้น
ระหว่างนั้นผมก็ได้นำของของคุณลุงไป ประมูลขายใน ebay ก็หลายชิ้น แต่ที่มากที่สุดก็คือ ฉลากกล่องไม้ขีดเก่าญี่ปุ่น old matchbox label japan การที่คุณลุงสะสมของเก่าหรือของโบราณได้นั้น แน่นอนคุณลุงต้องมีเงินที่มากพอ และมีเวลาที่จะแสวงหาของโบราณเหล่านั้น
ผมจึงถามเคล็บลับความร่ำรวยที่ทำให้คุณลุงประสบความสำเร็จ คุณลุงบอกผมว่า จงรู้บุญคุณคน และรักษา เครดิต คุณลุงเล่าว่า คุณลุงเคยเป็นคนยากจนมาก่อน ค้าขายทำอะไรต้องพึ่งเครดิตตลอด แกบอกว่า แกยืมเงิน 100 บาท ก็ต้องคืนให้ตรงเวลา จนในที่สุดคุณลุงทำธุรกิจโรงงานทอผ้าส่งออกต่างประเทศ ยืมเงินเป็น 100 ล้าน ก็มีคนให้ยืมเพราะ คุณลุงไม่เคยเสียเครดิต
ใบกระดาษเก่าที่มีค่า old matchbox label japan
ฉลากกล่องไม้ขีดเก่าญี่ปุ่น |
แต่ละใบมีค่าทั้งนั้น |
ใบที่มีธงประมูลขายได้ราคาทุกใบ เป็นที่นิยม |
ฉลากกล่องไม้ขีดเก่าญี่ปุ่นชุดนี้ผมขายไป 8,000 บาท |
ยอดขายกระจุย
รูปบางส่วนจากการขายจ่ายเงินผ่าน paypal
หลังจากที่ผมได้นำสินค้า ฉลากกล่องไม้ขีดเก่าญี่ปุ่น ลงขาย ผลตอบรับดีมาก ทุกใบขายหมด ราคาก็เฉลี่ยกันไป เพราะผมเปิดขายแบบประมูล และมีหลายใบ ราคาเกิน 1,000 บาท สูงสุดที่ผมขายได้ 4,734 บาท ด้วยต้นทุนที่มา 120 บาท ลูกค้าของผมส่วนมากมาจากประเทศจีนเป็นหลักและรองมาก็สหรัฐอเมริกา ประเทศอื่นๆบ้างประปราย
ตอนนั้นผมก็ได้จัดทำ blog http://matchboxlabeljapan.blogspot.com/2010_10_01_archive.html ซึ่งเป็นตัวอย่างให้ลูกค้าได้ชมและเข้าไปซื้อใน ebay
ผมขายฉลากกล่องไม้ขีดเก่าญี่ปุ่น รวมๆแล้วน่าจะกว่า 2,000 ใบ แต่ผมชะล่าใจคือการไม่ปล่อยสินค้าในช่วงที่กระแสกำลังดีเราพผมคิดว่าคงขายได้อีกนาน ซึ่งผมขายไปได้ประมาณ 5 -7 เดือนก็เริ่มมีคู่แข่ง และที่สำคัญคู่แข่งมาจากประเทศ ญี่ปุ่น ทำให้เขาเปิดราคาขายในราคาถูก จริงๆแล้วลูกค้ากลุ่มนี้เป็นนักสะสมกลุ่มไม่ใหญ่เพราะผม ลองเช็คลูกค้าก็มีประมาณ ไม่เกิน 30 - 40 คน และ ฉลากกล่องไม้ขีดเก่าญี่ปุ่น จะราคาดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับ สภาพและความหายาก ซึ่งถ้าตอนแรกผมรับปล่อยสินค้าออกไปในราคาที่ไม่แพง มาก ผมอาจจะขายได้เยอะกว่านี้ ที่เขาว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก คงจะจริง หลังจากคู่แข่งเริ่มเยอะขึ้น ราคา ฉลากกล่องไม้ขีดเก่าญี่ปุ่นก็ตกลงมาอย่างน่าใจหาย จากเคยขายได้ ราคา ก็เริ่ม เหลือกำไรแค่ ใบล่ะ 50 บาท และขายยากอีกต่างหาก เพราะ คู่แข่งญี่ปุ่น ประกาศขาย ตกใบล่ะ 120 บาท ซึ่งนั้นเท่ากับต้นทุนของผมพอดีเลย และแล้วผมก็ต้องหยุดขายฉลากกล่องไม้ขีดเก่าญี่ปุ่น พระเอกของผม
ได้ขึ้นตำแหน่งเป็น ebay Top-rated & Power Seller
Email จาก ebay แสดงความยินดี คุณได้ต่ำแหน่ง ebay Top-rated power seller |
การหาสินค้าที่ขายเหมือนฉลากกล่องไม้ขีดเก่าญี่ปุ่น นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ผมขายอะไรง่ายขึ้น เพราะ ยอดขายที่ผ่านมาของผม ทำให้ผมได้เป็น ebay Top-rated & PowerSeller ซึ่งมันทำให้เกิดความน่าเชื่อถือจากลูกค้าเป็นอย่างมากและทำให้สินค้าที่เราขายโดดเด่น มีความน่าเชื่อถือ และได้ส่วนลดพิเศษ ผมเองก็ไม่เคยคิดว่าจะได้เป็น ebay Top-rated & PowerSeller เพราะตอนที่หัดทำครั้งแรกดูมันช่างห่างไกลเสียเหลือเกิน ช่วงนั้นผมก็หาสินค้าจากคนใกล้ตัว มาขายด้วยในขณะที่หาสินค้าเพิ่มเติม
ส่วนหนึ่งของ งานเปเปอร์มาเช่ Hand made พี่สาวผมทำเองกับมือ
เปเปอร์มาเช่ ม้าลาย |
เปเปอร์มาเช่ ร.5 สีทองแดง |
เปเปอร์มาเช่ ร.5 สีเงิน |
ขายช่วงฮาโลวีน |
พี่สาวผมทำเองกับมือ |
และผมก็เอามาประมูลใน ebay |
การเป็นพ่อค้าใน ebay คุณต้องหาโอกาสอยู่เสมอและโอกาศนั้นจะเปิดอยู่ไม่นานมันก็จะหายไป วันหนึ่งผมไปเจอ คนไทยประกาศขายหนังสือโป้เก่าแต่เป็นของต่างประเทศ เขาขายเหมา 24 เล่ม 4,000 บาท ลดราคาจาก 7,000 บาท เท่ากับเล่มละ 166 บาท ผมก็ลองหาข้อมูลดู คิดว่าพอขายได้ ผมจึงซื้อ และผมเอาไปขายใน ebay ได้เล่นล่ะ 1,000 กว่าบาท ลูกค้าคนหนึ่งซื้อที 5 เล่ม และสินค้าก็หมดภายในไม่กี่วัน
ส่วนหนึ่งของหนังสือ เก่า |
หนังสือเก่ากระดาษมันเปราะบาง การหีบห่อต้อง ถึงลูกค้าอย่างปลอดภัย |
จัดใส่กล่องพลาสติกแข็ง |
แพคเสร็จ พร้อมคำขอบคุณและแนะนำ web |
พร้อมส่งให้ลูกค้า |
การหาสินค้าที่มีลักษณะเฉพาะทางและหายากนั้นขายใน ebay ได้เกือบหมดแต่ ผมก็รู้สึกเหนื่อยกับการที่ต้องค้นหานู้นนี่มาขายมันรู้สึกเหมือนเราไม่มีสินค้าที่เป็นหลัก ต้องหา ต้องเหนื่อยตลอด อย่าลืมนะว่าการทำสินค้าตัวใหม่ขึ้นมาขายตัวนึง ต้องถ่ายรูปใหม่ เขียนคำอธิบาย ภาษาอังกฤษใหม่ พอขายได้ก็จบกัน ต้องหาสินค้าหาไปเรื่อยๆ ผมจึงพยามคิดว่า จะขายไรดีที่ไม่ต้องมานั่งทำนั่งหากันไม่มีวันหยุด
โลโก้ ร้าน sky thailand shop |
มาลงตัวกับสินค้าไทยที่มีจุดเด่นและหาง่าย เป็นของใกล้ตัวที่คุณคิดไม่ถึง สินค้านั้นคือสินค้าที่เราใช้ในชีวิตประจำวันของเรานั้นเอง ยาสีฟัน สบู่ ยาสระผม ที่ทาเต่า เครื่องปรุงรส ขนม ฯลฯ ทั้งที่มีคนไทยขายบางตัวอยู่แต่ ผมคิดว่าเราต้องให้การบริการ และรูปแบบการนำเสนอ ที่ดีกว่า สุดท้ายก็อยู่ที่ลูกค้าฝรั่งจะซื้อกับใคร และอีกอย่างผมก็ได้ทำ blog สินค้าแล้วนำค้าเข้าไปซื้อในร้าน ebay ของผม ซึ่งทำให้ผลตอบรับออกมาดี ถึงยอดขายจะไม่ทำกำไรเยอะเหมือน ฉลากกล่องไม้ขีดเก่าญี่ปุ่น แต่เป็นสินค้าที่ใช้แล้วหมดไปลูกค้าก็กลับมาซื้อใหม่ และกำไรก็พอได้เน้นจำนวน
ตัวอย่างบาง blog เพื่อเสนอสินค้า นำมาซึ่งการซื้อใน ebay
เกี่ยวกับสินค้า นีเวีย http://nivea-bodylotion.blogspot.com
เกี่ยวกับสินค้า เครื่องปรุง http://thailandfoodspices.blogspot.com
เกี่ยวกับสินค้า ป้องกันยุง http://mosquito-lotion.blogspot.com
เกี่ยวกับสินค้า โฟมล้างหน้า สมูทอี http://smooth-e-product.blogspot.com
เกี่ยวกับสินค้า ทำความสะอาดเฉพาะจุดสำหรับผู้หญิง http://lactacydintimate.blogspot.com
ยกตัวอย่าง ที่ทาเต่าสหรับผู้หญิง - ชาย ของ NIVEA ขาย1ชิ้นหักต้นทุนและการจัดส่ง ได้กำไร 50 กว่าบาทที่ตลกคือ ผงปรุงสำเร็จ ต้มยำกุ้ง ของ LOBO ซื้อมาซองล่ะ 18 บาท ขายได้ กำไร 80 บาท พวกรัสเซียซื้อครั้งนึง 4 - 5 ซอง ซื้อเยอะสุด 20 กว่าซอง และทุกเดือนยอดรวมของ LOBO ไม่ต่ำกว่า 20 ซองทุกเดือน แต่หลังจากนั้นไม่นาน มีคนไทย มาขาย LOBO ในราคา ที่ถูกมาก ผมลองคำนวนดู กำไรได้ประมาณ 10 -15 บาท แค่ออกจากบ้านไปส่ง ก็แทบขาดทุนแล้ว ผมคิดในใจทำไมขายถูกขนาดนั้น ซักพักลูกค้าผมหายหมดเลย แถมส่งเมลมาต่อว่า ว่าผมขายของแพง
สินค้าไทยบางอย่างเป็นจุดเด่นของประเทศเรา สินค้าไม่มีทางหาซื้อได้ในประเทศของเขา ราคาต้องแพงเป็นปกติ เหมือนเราซื้อของนำเข้าในบ้านเรายังแพงเลยไม่มีใครเอามาขายกันถูกๆหรอก ขายอย่างกับเปิดร้านขายโชว์ห่วยหน้าบ้าน ยาวๆๆ คิดแล้วยังแค้นอยู่ 5555 สรุปคนไทยเจ้าอื่นๆก็แห่กันลดราคาตามลงมาสู้ ซึ่งผมลองดูกำไรถ้าขายได้ จะได้กำไร ซองล่ะ 5 บาท ก็เลยสบายฝรั่งกันไป
ถ้าคนไทยรู้จักค้าขายและไม่ตัดราคากันเอง ebay จะสร้างเงินให้กับคุณได้อย่างสบายๆ สำหรับ LOBO ผมก็เลย เลิกขายไปเพราะสู้การตัดราคากันเองไม่ไหว แต่ผมก็ยังหาสินค้าเข้ามาขาย ใน ebay อยู่เรื่อยๆ จัดส่งของทุกวัน ซื้อของทุกวัน และมีโครงการจะเปิด ebay อีกที่คือ ebay UK แต่แค่ ที่ USA ที่เดียวก็แพคของส่งของกันทุกวันเพราะยิ่งสินค้าเยอะก็ยิ่งจุกจิก จนบ้างครั้งส่งของให้ลูกค้าสลับกันบ้างก็มี มีอยู่ครั้งหนึ่งลูกค้า ฮ่องกง สั้งซื้อครีมทาหน้า nivea หลายกล่อง ราคาประมาณ 6,000 บาท พอลูกค้าได้สินค้าเปิดมาเป็น คนอร์ก้อนรสต้มยำ 1 ก้อน ซึ่งส่งสลับชื่อกันกับลูกค้าที่อยู่ฝรั่งเศส ต้องเจรจากันอยู่หลายรอบ สุดท้ายก็ลงเอยด้วยดี
ผมเพิ่มปริมาณสินค้ามากขึ้นเรื่อยๆ จนแตะ 1,000 กว่าตัวสินค้า แต่เน้นของเล็กๆส่งง่าย
ผมส่งสินค้ากับ ไปรษณีย์ไทย สาขาปทุมธานี บ่อยจน พนักงานทุกคนจำผมได้ และเวลาที่มีปัญหา พวกเขาก็ช่วยแก้ปัญหากันเต็มที่ เหมือนเป็นทีมงานที่ผมขาดไม่ได้เลย เพราะสินค้าบางอย่างที่เราส่งให้กับทางต่างประเทศ ชิ้นเล็กๆแต่มีมูลค่ารวม เป็นหลัก 10,000 บาท ซึ่งต้องส่งไปในที่ที่เราไม่รู้จักและห่างไกล คนละมุมโลก ช่วงแรกๆผมนอนกังกลตลอดแต่หลังๆก็ชิน
พอรู้จักคนเยอะๆก็เริ่มมีคนต้องการสินค้าไทยเพื่อนำไปขายซึ่งถ้าผมหาให้ได้ก็จะรับมาทำให้แล้วจัดส่งทางไปรษณีย์ไทย และในที่สุดผมก็มาเจอลูกค้ารายหนึ่ง ซึ่งอยากได้แก้วกาแฟเพื่อนำไปจำหน่ายในประเทศของเขา และมันก็เกิดปัญหาที่ทำให้ผมหนักใจมากในช่วงนั้น ตอนนั้นผมได้เขียนบทความเรื่อง จุดเริ่มต้นของคนขายแก้วกาแฟ ลง blog http://coffeecup-talk.blogspot.com
ซึ่งคำที่ว่า ปัญหามาปัญญาเกิด ก็ยังคงจริงอยู่เสมอ และในที่สุดผมก็ผ่านปัญหานั้นมาได้
ต้องขอบคุณลูกค้า คนไทยด้วยกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะซื้อ ชุดแก้วกาแฟของผม เพื่อไปเปิดร้านขายกาแฟ ซึ่งผมเชื่อว่าเขาคงไม่ผิดหวังกับแก้วกาแฟชุดของผม
สินค้าแก้วกาแฟพวกนี้ มีการผลิตด้วยมือหลายขั้นตอน handmade ซึ่งฝรั่งชอบมาก พร้อมกับรูปแบบและลวดลายที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งเชื่อว่าลูกค้าที่เข้ามาดื่มกาแฟร้านคุณ ต้องติดใจและชื่นชอบอย่างแน่นอน ทุกวันนี้ก็ยังคงมีลูกค้าโทรเข้ามาสอบถามอยู่เสมอว่า ยังมี ชุดแก้วกาแฟเหลืออยู่อีกไหม ผมก็ได้แต่ตอบไปด้วยความเสียดายแทนว่า หมดแล้วครับ และหาซื้อได้ยาก เพราะโรงงานปิดไปแล้ว
รายได้และลูกค้าที่ซื้อสินค้าของผมใน ebay ทำให้ผมอยู่ได้แต่ก็ไม่ถึงกับสบาย เราต้องคอยหาสินค้าเพิ่มเติมและถอดสินค้าที่ขายไม่ดีออก ผมต้องจ่ายค้่าเช่าร้าน ebay และ ค่า % สินค้าที่ขายได้ให้กับ ebay รวมๆแล้วเดือน หนึ่งประมาณ ไม่ต่ำกว่า 8,000 บาท ลองคิดดู ebay มีสมาชิกที่เปิดร้านค้าเป็น ล้านคนทั่วโลก และต้องจ่ายให้กับ ebay ทุกเดือน ไม่โครตรวย ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว แต่กฎระเบียบของ ebay ก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ต้องปรับตัวตามให้ทัน
จุดจบของการขาย ebay ของผม
และในที่สุดประเทศไทยของเราก็ประสบกับน้ำท่วมครั้งใหญ่ซึ่งบ้านของผมติดแม่น้ำเจ้าพระยาจังหวัดปทุมธานี น้ำท่วมครั้งนี้สูงสุดตั้งแต่ผมเกิดมา ทำให้ทุกๆอย่างพังเสียหายอย่างมากมาย ในตอนแรกผมยังคิดดีใจอยู่ ว่างานของผมไม่มีผลกระทบเพราะคำสั่งซื้อมาจากต่างประเทศ แต่ที่ไหนได้คำสั่งซื้อยังเยอะเหมือนเดิมแต่สินค้าไม่มีขาย เพราะห้างร้านปิดหมด บางที่เปิดแต่ก็ไม่มีสินค้าตัวนั้นขาย การเดินทางลำบากมากๆ
สุดท้ายไปรษณีย์ไทย หยุดทำการไม่ส่งสินค้าออก ตอนที่น้ำท่วมอาทิตย์แรก พยายามติดต่อลูกค้าเพื่อบอกว่าการจัดส่งจะล่าช้า และการจัดส่งจะจัดส่งเป็นรอบๆ อาทิตย์ล่ะครั้ง แต่สุดท้ายสินค้าไม่มีส่ง และไปรษณีย์ไทยปิดทำการ....... มันเป็นอะไรที่แย่มากๆ ที่ต้องมานั่ง โอนเงินคืนลูกค้าที่จ่ายค่าสินค้ามาแล้ว และท้ายสุดผมรวบรวมสินค้าที่พอจะส่งได้ ส่งให้กับลูกค้าเป็นรอบสุดท้าย และผมก็ปิด ebay
น้ำท่วมเป็นเวลา ประมาณ 3 เดือน ได้ทำความเสียหายอย่างมากมายและก็พัดพางานของผมไปด้วย แต่พอเรามองดูคนอื่นแล้วย้อนกลับมาดูตัวเรา เรายังโชคดีกว่าคนอื่นๆอีกมากมาย บางคนเสียบ้าน เสียงาน เสียธุรกิจ ตกงาน แต่ที่หนักกว่า บางคนเสีย คนรัก และบางคนเสียชีวิต
ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ชีวิตก็ต้องสู้กันต่อไป
ผมยังโชคดีที่ก่อนหน้านี้ผมได้นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ มาทยอยขายปลีกและขายส่งและยังมีลูกค้าคนไทยในต่างจังหวัดที่ไม่โดนน้ำท่วมซื้อเอาไปจำหน่ายปลีก เลยพอมีรายได้ในตอนน้ำท่วมบ้างถึงแม้การเดินทางเพื่อไปไปรษณีย์ไทยจะยากลำบากแต่ก็ต้องไป ไปรษณีย์ไทยส่งสินค้าในประเทศเฉพาะจังหวัดที่ไม่โดนน้ำท่วม
และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ผมนำสินค้าเข้ามาจำหน่ายให้พ่อค้าแม่ค้าในราคาถูก
หลังน้ำลดผมเริ่มนำสินค้าเข้ามาขายส่ง โดยที่มีรูปและราคาเสนอให้พ่อค้าแม่ค้า ก็พอขายได้
แต่ยังติดปัญหาที่ว่าคนไทยหลายคนอยากเห็นสินค้าตัวอย่างก่อนซื้อจริงๆ อันนี้ผมก็เข้าใจพ่อค้าแม่ค้า เขาก็อยากมั่นใจในสินค้าที่เขาซื้อเพื่อจะนำไปขายต่อเพราะเขาซื้อเป็นจำนวนเยอะ ผมก็มานั่งคิดและทบทวนเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า
ตอนนี้ผมจึงได้เริ่มจัดตั้งร้าน จดทะเบียนพาณิช และเสียภาษี และได้จัดทำ ที่ทำงานใหม่ที่บ้านโดยมีสินค้าตั้งโชว์ เป็น SHOWROOM เพื่อเป็นสินค้าตัวอย่างให้ลูกค้าได้ชม และสินค้าอื่นๆก็จัดทำเป็นแคตตาล็อคพร้อมใบเสนอราคา สามารถสั่งซื้อ มัดจำ และรับของได้ที่ทำงานของผมได้เลย
ถ้าลูกค้ารายใดไม่สะดวกผมก็จัดส่งให้ทาง ไปรษณีย์ไทย ทั่วประเทศ นอกจากร้านแล้วผมยังมีบริการสั่งซื้อผ่าน web ซึ่งผมจะมีรูปภาพสินค้าถ้าคุณสนใจผมก็จะจัดส่งใบเสนอราคา พร้อมจัดส่งสินค้าให้คุณ
หลักการง่ายๆในการดำเนินธุรกิจของผม ลูกค้าเหมือนเพื่อน มีอะไรพูดคุยกันได้ เพราะธุรกิจเป็การพึ่งพาซึ่งกันและกันคุณอยู่ได้ผมอยู่ได้
ถ้าคุณอ่านเรื่องราวของผมมาตั้งแต่ต้นจนจบได้ คุณก็ได้รู้จักผมบ้างแล้วบางส่วน ถ้าเรามีความคิดตรงกันในเรื่องการค้าขาย เราก็น่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานกันได้
เค กมลชนก เนตรพระฤทธิ์
ช่วงนี้หยุดเล่าไปหลายเดือน ว่างๆผมเลยมาเล่าต่อให้ฟังครับ
การเดินทางไปจีนครั้งแรก
เวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหกครับ หลังจากที่ผมเล่าค้างเอาไว้ ผมก็ได้เจอประสบการณ์อะไรเพิ่มเติมขึ้นมาในชีวิตที่อยากจะบอกเล่าให้เพื่อนได้ฟัง เป็นประสบการณ์ที่ตื่นเต้นของการหาสินค้ามาจำหน่าย
พอต้นปี 2555 เดือน มีนาคม ผมกับแฟนก็ได้ตัดสินใจ เดินทางไปประเทศจีน เพื่อดูโรงงานการผลิตสินค้าต่างๆ ก่อนเดินทางไปผมได้ติดต่อและพูดคุยกับ ทางร้านค้าไว้หลายที่ครับ ถามว่าผมคุยยังไง ผมเองก็ตกภาษาอังกฤษ ครับ ( ตกจริงๆนะครับ) ผมพูดคุยผ่าน MSN กับพนักงานโรงงานต่างๆ โดยคุยไป ใช้ Google แปลไปคุยไป ให้คุยกันสดๆ คงคุยไม่รู้เรื่อง แต่สุดท้ายก็คุยกันรู้เรื่องครับ เปิดกล้องคุย chat กันเลยครับ ส่วนใหญ่ พนักงานเป็นผู้หญิงครับ พอคุยนัดกันคร่าวๆว่า ผมไปขอเยี่ยมชม โรงงานและร้านค้า ส่วนใหญ่ก็ยินดีต้อนรับครับ ผมก็จะเลือกร้านค้าที่อยู่ไม่ไกลนัก
และถามว่าผมเคยไปประเทศจีนหรือต่างประเทศไหม ?
เคยครับต่างประเทศ....... เคยไปเวียงจันทร์ ประเทศ ลาว ครับ แถมไปกันเป็นคณะด้วยครับ นอกนั้นก็ป้วนเปี้ยนเที่ยวแต่ในประเทศไทย ตรงกับสโลแกน ไทยเที่ยวไทยครับ
ถึงแม้ว่า พ่อผม น้องสาว และญาติ ของผมจะทำงาน อยู่การท่าอากาศยาน และ การบินไทย
แต่ผมเป็นคนเดียวในบ้าน ที่ยังไม่เคยขึ้นเครื่องบิน ตัวเป็นๆเลยซักครั้งเดียว เคยขึ้นแต่เครื่องบินหยอดเหรียญในห้าง ตอนเด็กๆ
ส่วนแฟนผม เขาก็พอพูดภาษาอังกฤษได้ แต่ก็ไม่เคยไปจีนและก็ไม่เคยบินเหมือนกัน ( ทั้งๆที่ตัวเขาเองก็มีปีก) อ่ะเข้าใจนะ!
การเดินทางครั้งนี้คงธรรมดามากๆ สำหรับคนที่เก่งภาษาและเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ เพราะเขาจะรู้ขั้นตอนในการเดินทางทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการ ทำพาสปอร์ต การขอวีซ่า การจองตั๋วเครื่องบิน และการหาที่พักในต่างประเทศ แต่สิ่งนั้นไม่มีสำหรับผมเลยซักอย่าง
แฟนผมจึงไปหาไกด์นำทางเพื่อการเดินทางครั้งนี้โดยเฉพาะ ค่าไกด์ไม่แพงครับและอยู่กับเราได้ตลอด
นั้นคือ หนังสือคู่มือไปจีน และ หนังสือ คำศัพท์ ภาษาจีนแปลไทย สุดยอดไหมครับ ไกด์ของเรา
เราพยายามศึกษาจากหนังสือและขั้นตอนต่างๆที่ต้องเตรียมและต้องใช้ในการเดินทาง ส่วนมากแฟนผมเป็นคนดำเนินการเรื่องเอกสารต่างๆให้กับผม ผมจึงมีหน้าที่ทำตามที่เขาบอกว่าต้องทำอะไรอย่างไรบ้าง เพราะผมเองมัวแต่คิดว่าจะไปดูอะไรบ้างโรงงานไหนบ้างจะซื้ออะไรบ้าง จนแทบไม่ได้อ่านหนังสือคู่มือไปจีน และคำศัพย์ จีนเลย จำได้แต่ เชี้ยๆ เชี้ยๆ 555 มันจำง่ายดี แปลว่า ขอบคุณนะครับ
วางแผน
เราได้ดูเที่ยวบินที่จะไปจีนว่าเราจะไปเที่ยวไหนเมืองอะไรแล้วจาเดินทางไปไหนต่ออย่างไร สรุปว่าเราจะไปเซินเจิ้น แล้วค่อยไปกวางเจา เราได้จองโรงแรมในจีน ผ่านทางเว็บ อะโกด้า หลังจากนั้นเราก็ไปทำพาสปอร์ต ขอวีซ่า จองตั๋วเครื่องบิน สรุป เราจะเดินทางไปจีนกันเองหาที่พักและวางแผนเดินทางกันเองเป็นเวลา 12 วัน โดยมี 3 วันก่อนกลับ เราได้ติดต่อ ไกด์ที่เป็นคนจีนแต่พูดไทยได้ ซึ่งเป็นคนประสานงานเรื่องสินค้าให้กับเรา ok เรียบร้อย
พอใกล้ถึงวันที่จะไปผมมานอนคิดว่า เฮ้ยเราจะไปจีนกันจริงๆหรือ มันเป็นความรู้สึกที่ ตื่นเต้น ท้าทาย แต่ก็มีความกลัวอยู่ในใจ สิ่งที่ผมกลัว คือ ผมไม่เคยกลัวว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวผม แต่ผมกลัวที่ผมต้องไปกับแฟน กลัวที่เอาเขาไปเสี่ยง กลัวว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นเราจะปกป้องเขาได้ไหม ต่างที่ ต่างเมือง ต่างภาษา พักพวกก็ไม่มี แถมไปกันแค่ 2 คน อีกต่างหาก มันเป็นความกังวลที่อยู่ในใจ เอาว่ะ ไม่ว่าจะเกิดไร ก็สู้ตาย เด็กเทคนิคเก่า มีไรก็ มวยไทยอย่างเดียว คิดแล้วมันฟุ้งซ่านดีแท้...
ถึงวันออกเดินทาง
ผมนั่งแท็กซี่ จากปทุมธานีไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ ไปถึงก็ช่วงเย็นเครื่องออกประมาณ 2 ทุ่ม เมื่อทำอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็มานั่งรอขึ้นเครื่อง ซึ่งสังเกตุว่าเพื่อนร่วมเดินทางส่วนใหญ่เป็นคนจีนทั้งนั้น เขาคงมาเที่ยวไทยกัน และเที่ยวเสร็จกลับประเทศของเขา พอขึ้นเครื่องก็ตื่นเต้นนิดหน่อย ดีที่ว่าผมกับแฟนนั่งคู่กัน พอเครื่องเริ่มออกตัวทุกคนนในเครื่องนั่งเงียบกริบ ผมได้ที่นั่งตรงปีกพอดี พอดูตรงหน้าต่างก็จะเห็นปีกและเครื่องยนต์พอดี
เครื่องบินขึ้นแล้วจ้า
พอเครื่องขึ้นซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผมขึ้นเครื่องบิน ก็อดตื่นเต้นไม่ได้เหมือนกัน เพราะรู้สึกเครื่องมันสั่นไปหมด เครื่องเริ่มไต่ระดับเพดานบินจนได้ที่ เครื่องเริ่มนิ่งและเลี้ยวโค้งเพื่อตั้งลำเดินหน้าสู่ประเทศจีน ผมมองที่หน้าต่างเห็นแสงไฟของเมืองกรุงเทพยามค่ำคืนและแสงไฟของสนามบินสวยงามมากเป็นภาพจากมุมสูงที่ผมเองไม่เคยเห็นมาก่อน พอเครื่องเริ่มไต่ระดับอีกระดับนึงซึ่งดูหมือนว่า ท้องฟ้าจะมีเมฆเยอะ ดูทีหน้าต่างอีกทีก็มองไม่เห็นอะไรแล้วครับมีแต่ความมืด
2 ชั่วโมงผ่านไป เครื่องเริ่มลดเพดานการบินลง ผมดูไปที่หน้าต่างเห็นเมืองขนาดใหญ่และแสงไฟเยอะแยะไปหมดและเป็นช่วงเดียวกันกับเครื่องเลี้ยวเพื่อลดเพดานบินแบบโค้งกว้างๆทำให้ผมเห็นข้างล่างได้อย่างชัดเจน ความตื่นเต้นเริ่มกลับมาอีกครั้ง เมื่อเครื่องแตะถึงเมืองเซินเจิ้น ลงจากเครื่อง ก็รู้สึกถึงอากาศ ที่แตกต่างจากบ้านเราทันที ที่นี่น่าจะเย็นประมาณ ไม่เกิน 20 องศา
พอเข้าด่าน ตรวจคนเข้าเมือผมกับแฟนแยกกันเข้าคนล่ะแถว ถึงตอนนี้มาคิดว่าถ้าเกิด พนักงานมันถามนู้นนี่เราจะคุยกับเขารู้เรื่องไหม แต่แฟนบอกว่าถ้าเขาถามอะไรให้บอกชื่อโรงแรมไป ก็นั้นแหละครับ ผมดันจำชื่อโรงแรมไม่ได้ชื่อเรียกเป็นภาษาจีน กำลังยืนตื่นเต้นอยู่ก็ถึงคิวผมพอดี ผมเดินไปยื่นพาสปอร์ต พนักงานเป็นผู้ชายหน้าตี๋ (แน่นอนแหละครับเมืองจีนนีนา) มองหน้าผมอยู่ซักพักและก็ให้ผ่านเข้าไป เฮอโล่งอก
ผมเดินออกมากับแฟนเอากระเป๋าเดินทางเรียบร้อย ดูนาฬิกาก็ 4 ทุ่มบ้านเรา แต่ที่จีนเร็วกว่าบ้านเรา 1 ชั่วโมงเท่ากับว่าที่นี่ก็ 5 ทุ่มแล้ว ผมถามแฟนว่าแล้วเราต้องไปไหนต่อหรอ แฟนผมบอกว่าต้องนั่งรถเมลไปอีกจนเกือบสุดสาย แล้วจะใกล้โรงแรมที่สุดถึงตรงนั้นแล้วค่อยว่ากันต่อ ลำพังอยู่ในไทยก็ไม่ค่อยได้นั่งรถเมลซักเท่าไหร่ นานๆนั่งที ว่าแล้วก็เดินไปที่ป้ายรถ ขณะที่เดินไป มีคนขับแท็กซี่จีน เดินมาถามตลอดทางว่า จะไปไหน แท็กซี่ไหม NO NO NO ผมต้องพูดแบบนี้ตลอดทาง มันก็คงไม่ต่างจากแท็กซี่ บ้านเราที่คอยเรียกฝรั่ง ที่สนามบิน
ขึ้นรถเมล์
พอถึงป้ายรถเมล ต้องซื้อตั๋วก่อนขึ้นรถเมื่อซื้อเสร็จก็ขึ้นรถเมล มีที่นั่งเหลืออยู่ที่เดียวครับ ผมให้แฟนไปนั่งและผมก็ยืน ยืนคนเดียวครับ ท่ามกลาง อาตี๋อาหมวยทั้งหลาย และเขาก็มองผมแบบแปลกๆ จนผมรู้สึกว่า เฮ้ยเราทำไรผิดป่าวว่ะเนี้ย แต่ผมก็พยามไม่ใส่ใจ ดูข้างทาง ป้ายถนน ที่รถเมล ขับผ่าน แต่ล่ะป้ายนั้น มีแต่ภาษาจีน ไม่มีภาษา อังกฤษเลย ถนนบ้านเขาเรียบตลอดทาง แสงไฟสว่างไสว ทั้งที่ก็เกือบ เที่ยงคืนแล้ว รถก็ยังวิ่งอยู่พอสมควร ผมต้องคอยเหลือบตาดูแฟนผมที่นั่งข้างหลังตลอด มันมีความรู้สึกระแวงอยู่เหมือนกัน ต่างบ้านต่างเมือง ถ้าหลงออกจากกัน ก็คงไม่สนุกแน่ๆ
ผมมาได้นั่งเมื่อรถจอดป้ายและมีคนลงหลายคนเลยเรียกแฟนมานั่งด้วยกัน มันเหมือนเป็นการเริ่มต้นการผจญภัย ในต่างแดน เราไม่มีอะไรนอกจากหนังสือ 2 เล่ม และตั๋วโรงแรมที่เราจองเอาไว้ล่วงหน้าในอินเตอร์เนต ซึ่งเราก็ลุ้นว่าถ้าเกิดถึงโรงแรมแล้วตั๋วที่ซื้อไว้ใช้ไม่ได้เราจะทำอย่างไรหรือ โรงแรมนั้นไม่มีจริงๆทำยังไง คุยกันไปมา ก็สุดสายทางที่รถเมลวิ่ง เราลงจากรถแบบ งงๆ ว่าจะไปไหนต่อไปทางไหน เพราะตอนนั้นเวลา ก็ เที่ยงคืนล่ะ แต่จากแผนที่ บอกว่าเราต้องเดินทางอีก ไม่กี่โลก็ถึงแล้ว
ลงรถได้ซักแป็บก็มีคนขับแท็กซี่เข้ามาคุย แฟนผมก็บอกชื่อโรงแรม เขาก็บอก ok แล้วก็ยกของเตรียมขึ้นรถ ผมกับแฟนก็เดินตามแบบยัง งง ๆอยู่ ว่าแท็กซี่มันรู้เรื่องไหม แต่แล้วก็เจอคนจีนคนนึงเป็นผู้หญิงเขาเข้ามาทักทาย และบอกว่าเขาพึ่งกลับมาจากประเทศไทย ตอนนั้นดีใจเลย เขาประทับใจจากการเที่ยวประเทศไทยและคนไทย เราคุยกันอยู่พักนึงและเขาก็ช่วยพูดกับคนขับแท็กซี่ และโทรไปถามโรงแรมให้เรา สรุปเขาบอกว่าโรงแรมอยู่ไม่ไกล และย้ำกับแท็กซี่ให้อีกที แท็กซียกของขึ้นและผมกับแฟนก็ยกมือขอบคุณผู้หญิงจีนคนนั้นก่อนขึ้นรถ
แท็กซี่ขับวน
เมื่อขึ้นแท็กซี่ผมก็เบาใจขึ้นเยอะ ดีกว่าเดินดุ่มๆบนท้องถนนที่เราไม่คุ้นเคย และคิดว่าอีกไม่นานก็คงถึงแล้วแต่ที่ผมสังเกตุ ผมรู้สึกว่า เอ ขับมานานแล้วทำไมไม่ถึงซักที ผมกับแฟนเลยย้ำ ชื่อโรงแรมอีกทีและเปิดแผนที่ขึ้นดูกับแฟน จึงรู้ว่าแท็กซี่มันวิ่งวน ให้ดูเหมือนไกล (มุกเดียวกันกับแท็กซีนิสัยไม่ดีบ้านเรา) ผมกับแฟนเริ่มจับจุดจากแผนที่ได้ แล้วบอกทางเขาแทนที่จะให้เขาขับตามใจชอบ และให้แฟนก็เปิดหนังสือแปลไทยเป็นจีน ซึ่งมีคำว่า คุณโกง จะแจ้งตำรวจ ... เหมือนกับเขาก็รู้ว่าเรารู้ตัวแล้ว เขาก็แกล้งทำเป็นหาโรงแรมเจอ แล้วเลี้ยวไปส่งหน้าโรงแรม ถึงโรงแรมก็ ตี 1 กว่าๆ
ถึงโรงแรมแล้วจ้า
เมื่อถึงโรงแรม เราก็เอาใบเสร็จ ที่เราจ่ายเงิน online และจองห้องเอาไว้ไปยื่นเขาใช้เวลาเช็คแป็บเดียวก็เอา key card มาให้ ทุกอย่าง ok ถึงห้องพักสักที ยาฮู้ ผมกระโดด ทิ้งตัวลงบนเตียง จนลืมคิดไปว่านี่คือ จุดเริ่มต้นเท่านั้น คืนนั้นเราลงไปหาอะไรกินนิดหน่อย โดยใช้การสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ หนังสือแปลไทยจีน และภาษามือ หลังจากนั้นก็ขึ้นห้อง
ตอนนี้ผมอยู่ที่ เซินเจิ้น ซึ่งเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสินค้าแนวเทคโนโลยี พร้อมกับอากาศที่เย็นสบาย ซึ่งในเมืองไทยไม่ได้สัมผัสอากาศแบบนี้เลย แต่การวางแผนมาครั้งนี้ เป้าหมายของผมกับแฟนไม่ได้มาที่เซินเจิ้น แต่เป็นกวางโจว คืนนี้ เลยเป็นที่แวะผักผ่อน 2 คืน เพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อ
แป็บๆก็เช้าแล้วครับ บรรยากาศยามเช้าที่เซินเจิ้น มองลงไปจากบนตึกโรงแรม ดูไม่แตกต่างจาก กทม บ้านเราเท่าไหร่ แต่ที่แปลกใจ คือ ไม่มี รถมอเตอร์ไซค์วิ่งซักคัน เมื่ออาบน้ำเก็บข้าวของเสร็จ เดินไปร้าน mac เพื่อดื่มกาแฟและอาหารเช้า แต่อยากบอกว่ารสชาติมันแปลกๆไม่ค่อยคุ้นเลยครับ หลังจากนั้นเราก็เดินหาซื้อ ซิม โทรศัพท์ เพื่อให้เราติดต่อกันได้ หากเกิดเหตุที่ต้องห่างกันหรือ หลงทาง
แวะไปธนาคาร BANK OF CHINA เพื่อแลกเงิน ดอลล่าเป็นเงินหยวน ประมาณ 200,000 บาทไทย (ก่อนออกเดินทางมาผมแลกเงินบาทเป็นดอลล่าเอาไว้ครับ เพราะตอนนั้นเชื่อว่า ค่าเงินดอลล่าจะ ok กว่า บาทไทย) ที่ต้องแลกกับ ธนาคารใหญ่ๆเพราะได้รับคำเตือน เรื่อง เงินปลอม จึงต้องพยายาม แลกเงินกับ ธนาคารที่น่าเชื่อถือ และ แลก แบงค์ย่อยๆไว้เยอะๆ เพราะตอนซื้อของด้วย แบงค์ใหญ่ อาจจะเจอเงินทอนด้วยเงินปลอม (น่ากลัวม่ะ)และต้องคอยระวังโขมยกระเป๋าอีกด้วยเพราะตอนเดินในที่ชุมชนคนเยอะมากๆเบียดกันตลอดเลยต้องระวังเป็นพิเศษ
2 คืนในเซินเจิ้น
เซินเจิ้นเป็นเมืองที่มีความทันสมัยดูได้จากตึกระฟ้าสูงหลายตึก แถมประดับด้วยไฟ LED อีกต่างหาก
ผมเดินดูรอบๆเป็นระยะทางหลายกิโลเมตรเดินไปเดินมาหลงทางอีกต่างหาก อาหารมื้อเย็นมื้อแรกที่เราฝากท้องก็เป็น ร้านกังฟูไฟท์ติ้ง
เตรียมตัวออกเดินทางไปกวางเจา
เราเดินไปตามแผนที่เพื่อไปขึ้นรถไฟความเร็วสูง จากเซินเจิ้นไป - กวางโจว ซื้อตั๋วเสร็จ ก็รอรถไฟไม่นานก็มาถึง เป็นครั้งแรกที่ได้ขึ้นรถไฟความเร็วสูง มันมีความรู้สึกเหมือนกับรถมันลอยอยู่กลางอากาศเพราะไม่มีเสียงเลย มีตัวเลขความเร็วให้เราได้เห็น เท่่าที่ผมดู เห็นความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ 180 ก.ม/ช.ม ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 ช.มกว่า ก็ถึงกวางโจว เมืองที่เราตั้งใจที่มาดูสินค้าและเยี่ยมชมโรงงาน
มาถึงกวางโจว
พอถึงกวางโจวเราได้ออกเดินด้วยเท้าเพื่อหาโรงแรมที่เราจองไว้ในอินเตอร์เนต ชื่อโรงแรม สลิแวนโฮเทล เมื่อหาเจอก็ทำการเช็คอินเข้าห้องไม่มีปัญหา พอเข้าไปในห้อง ก็มีความรู้สึกว่าเป็นห้องที่ ไม่ใหญ่ครับ มีกลิ่นอับและกลิ่นบุหรี ดูไปดูมาก็เหมือนในรูปแต่โทรมกว่ามาก ทำให้อดนึกถึงรายการ SHOCK FM ที่ผมชอบฟังอยู่บ่อยๆ เกี่ยวกับห้องผีสิง ประมาณนี้เลย บรรยากาศให้มาก แต่ผมก็ไม่ได้ลบหลู่ มาถึงก็ยกมือไหว้ บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง แต่ไม่รู้ว่าจะฟังผมเข้าใจรึป่าว เพราะผมพูดเป็นภาษาไทย นะครับ และอีกอย่างในกระเป๋าผมมีพระมาหลายองค์เลย ตั้งใจจะเอามาให้ เจ้าของโรงงานเพื่อเป็นของฝากจากประเทศไทย
คนจีนพลังโสม
เมื่อจัดการเรื่องโรงแรมเรียบร้อยแล้วเราก็ได้เดินออกมาสำรวจเส้นทางรอบๆ ผมสังเกตเห็นคนจีนถีบรถส่งของ คล้ายๆซาเล้งบ้านแต่เขาจะเป็นกระบะบรรทุกข้างหลัง และหลายคันเห็นขนของเยอะมาก แต่เขาถีบรถกันได้ไวเร็วอย่างกับมอเตอร์ไซค์ จนผมคิดว่าคนจีนนี่ แข็งแรงจริงๆอาจเป็นเพราะมียาดี พวกโสม ประมาณนั้น แต่พอได้ดูใกล้ๆ ก็สังเกตุเห็นรถที่ว่า มันติดมอเตอร์ไฟฟ้านี่หว่าถึงว่าวิ่งได้เร็วขนาดนั้น หลงคิดว่าพวกคนจีนพลังโสมอยู่ตั้งนาน
10วันในกวางโจว
10 วันในกวางโจวของเราได้เรียนรู้และได้ประสบการณ์อะไรหลายอย่าง ถึงแม้ว่า โรงแรมที่เราอยู่สภาพห้องจะดูโทรมๆช่วงแรกๆกะจะหาที่พักใหม่แต่มาคิดดูอีกที เราไม่ได้มาเที่ยวไม่ได้มาอยู่ถาวร เวลาอยู่ในห้องก็แค่ใช้นอนเท่านั้น เราเลยไม่คิดมาก ถึงแม้ว่าโรงแรมจะโทรมๆแต่ แม่บ้านในโรงแรมดีกับเรามาก ในห้องของเราไม่มี ตู้เย็น แฟนผมลงไปขอ เขาก็ยกตู้เย็นมาให้ครับ แบบว่าเราไม่ชินที่จะกินแต่น้ำร้อน น้ำชาที่โรงแรมแถมมาให้ และคอยให้ความสะดวกกับเราหลายๆอย่างเลยทำให้ความรู้สึกของเราดีขึ้นในเรื่องของโรงแรม
สอนภาษาไทยวันล่ะคำกับแม่บ้าน
อาหารการกิน
เราเดินสำรวจรอบๆโรงแรมและใกล้เคียงเจอร้านอาหารอยู่หลายร้านซึ่งเป็นร้านอาหารตามสั่งเหมือนบ้านเรา แต่ไม่มีภาษาอังกฤษเลย เราจึงอาศัย จิ้มชี้ สั่ง พยักหน้าหงึกๆ แล้วบอกว่า ok อาหารบ้านเขาส่วนมาก เป็นอะไรที่ เป็น ข้าวหน้าหมู ข้าวหน้าไก่ ข้าวหน้าเป็ด และมี ผักมาให้ด้วย แต่ผัดแบบน้ำมันเยิ้มๆ รสชาติ ออกไปทางเค็มๆ และก็จะมีแบบเป็นข้าวนึ่งโรยด้วยเนื้อสัตย์
เราได้เตรียม มาม่าคัพ มาเผื่อ ไว้เป็นมื้อดึกหรือหาของกินลำบาก แต่สิ่งที่ผมพลาดอย่างแรงก็คือ ไม่ได้เตรียมกาแฟซองมา ที่นี่หาร้านกาแฟ ยากมาก เลยต้องไปซื้อร้านสะดวกซื้อ ตกซองละ 2 หยวน ประมาณ 10 บาท บ้านเรา แต่ซองกระจึ๋งนึง ผมเป็นคนติดกาแฟ ยังไงก็ต้องซื้อมาติดไว้ แก้ขัด ถ้ามาคราวหน้าจะซื้อติดมาให้เต็มที่เลย
5 วันแรกในกวางโจว
อากาศในกวางโจวช่วงนี้หนาว ควันออกปากและมีฝนตกปรอยๆเป็นช่วงๆ แต่ก็เย็นสบายดีตกกลางคืนหนาวจัดใช้ได้แทบไม่อยากออกไปไหนเลย
หลังจากเดินดูสำรวจพื้นที่ใกล้ๆเรียบร้อยแล้วก็เริ่มวางแผนที่จะเข้าเยี่ยมชมร้านค้าที่เราได้นัดหมายเอาไว้ก่อนหน้านี้ โดยจะมี เพื่อนชาวจีนที่สามารถพูดภาษาไทยได้ มาเป็นไกด์และล่ามให้กับเรา สินค้าหลักๆที่ผมตามหาที่จะสัั่งซื้อกลับไป ก็ประมาณ กล้องวงจรปิด นาฬิกาแฟชั่น เคสไอโฟน และปืนฉีดน้ำยิงอัตโนมัติ จะเอามาขายในช่่วงสงการต์บ้านเรา
และหลังจากนั้นก็จะไปเดินเที่ยวถนนคนเดินที่มีชื่อเสียงของที่นี่ ครับ
พบเพื่อนใหม่
ในที่สุดก็เป็นวันที่ได้พบกับเพื่อนคนจีนที่เราติดต่อไว้ เขาชื่อ อาเหวิน เขาเป็นคนจีนที่สามารถพูดภาษาไทยได้เขาจะพาเราไปหาสินค้าที่เราต้องการและเจรจาต่อรองให้เราครับ
อาเหวินได้สอนเราหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการเดินทาง โดย รถเมล์ รถไฟฟ้าใต้ดิน และรถแท็กซี่ ทำให้หลังจากนั้นเราไปไหนมาไหนได้เองอย่างสบายใจ
ไปบริษัทผลิตนาฬิกา LED
ไปร้านกล้องวงจรปิดที่ติดต่อไว้
ซื้อกล้องวงจรปิดให้ลูกค้าและนำกลับไปเป็นตัวอย่าง 30 ชุด ให้เหวินช่วยเจรจาเป็นภาษาจีน หลังซื้อเสร็จก็ให้ทางร้านจัดส่งไปโกดัง shipping เพื่อส่งกลับไทย ครับ
ตามหาปืนฉีดน้ำยิงอัตโนมัติ
ปืนฉีดน้ำรุ่นนี้ที่ผมอยากได้เพราะมันเป็นปืนที่ในประเทศของเรายังไม่มีจำหน่าย มันมีความสามารถคือ ยิงได้โดยที่เราไม่ต้องมานั่งปั้มหรือกดยิงให้เมื่อย ใช้พลังจากมอเตอร์เป็นตัวขับเคลื่อน ใส่ถ่าน 4 ก้อน
อยากจะได้ไปลองเทสซัก 200 กระบอก แต่ร้านที่ขายปืนแบบนี้ต้องเป็นสินค้าเกี่ยวกับของเล่น พอถามเหวินว่า ไกลจากโรงแรมไหมเหวินบอกไม่ไกลเดินไปก็ได้ เราเลยตัดสินใจเดินไป แต่จริงๆมันไกลพอสมควรเลยเล่นเดินซะขาลาก คนจีนเดินกันเก่ง ครับ วันๆเดินกันหลายกิโลเมตร
ตึกที่เห็นนั้นแหละครับเป็นตึกที่รวบรวมร้านขายของเล่น และเราก็ได้สมใจอยากครับ
หลังจากที่เราตามหาสินค้าที่เราต้องการได้แล้วหลังจากวันที่เหลือเราก็ได้ติดต่อสอบถามสินค้า และดูสินค้าอื่นๆอีกเยอะครับ
วันที่เหลือเราใช้เวลาไปกับการเดินซื้อของฝากและถนนคนเดินที่มีชื่อของที่นี่
สรุปการเดินทางไปจีน
ผู้คนที่นี่ไม่ค่อยมีน้ำใจดูเหมือนเขาจะแย่งกันอยู่แย่งกันใช้ ถ้าเดินไม่ระวังก็จะถูกเดินชนโดยที่เขาจะไม่หันมาขอโทษเลย แฟนผมถูกเดินชนไปหลายครั้ง จนเราเริ่มรู้แนว และสิ่งที่ต้องระวังอย่างหนึ่ง คือที่นี้เขาถุยน้ำลายกันเยอะมาก ดีไม่ดีอาจจะโดนเท้าของคุณได้เลย ถ้าได้ยินเสียงคากๆพยามเดินออกมาห่างๆ
เทคโนโลยี่การเดินทางของเขาดีกว่าประเทศเรามากไม่ว่าจะเป็นรถเมล์ รถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้าใต้ดิน ทำให้การเดินทางสะดวกรวดเร็วและราคาถูก
อาหารการกิน เฉลี่ยตกเป็นเงินไทย 70 บาท/จาน ร้านข้างทางทั่วไป รสชาติก็ก็พอได้ แต่สู้บานเราไม่ได้
ห้องน้ำบางที่ก็แย่บางที่ก็ทั่วไป แต่มีครั้งนึงที่ผมเจอคือ เข้าไปแล้วคนเรียงหน้ากระดานฉี่ โดยไม่มีที่กั้น ผมก็พยายามไม่สนใจเดินเข้าไปฉี่ แต่สังเกตุว่าทุกคนหันมามองตอนผมกำลังจะปลดซิบเล่นเอา ฉี่ไม่ออกเดินออกมาตั้งหลักใหม่ มันไม่ชินอ่ะครับ
สินค้าที่นี่เป็นแหล่งขายส่ง แน่นอนถูกกว่าบ้านเรา แต่ถ้าไม่รู้ราคาและซื้อแบบชิ้นเดียวอาจจะโดนหลอกได้
เมื่อครบ12 วันที่เราเดินทางไปจีน เราได้ขนของส่วนใหญ่ส่ง shipping ส่งกลับไทย และบางส่วนก็แบกขึ้นเครื่อง ต้องบอกเลยว่าขากลับเหนื่อยพอสมควรเพราะ ขาออกของจีนนั้นคนเยอะมาก กว่าจะผ่านแต่ล่ะขั้นตอน เล่นเอาผมกับแฟนเกือบตกเครื่อง พอขึ้นเครื่องได้ก็โล่งอก
พอเดินทางมาถึงไทยลงจากเครื่องได้ก็รู้สึกได้ถึงอากาศที่แตกต่าง ร้อนวูบๆเลย ในใจรู้สึกสบายใจ ถึงบ้านเสียที
การเดินทางครั้งนี้ต้องขอบคุณแฟนผมเอง ที่เธอจัดการเกือบทุกอย่าง ให้ผม ทั้งเรื่องเอกสารและการเดินทาง เธอ เป็นคนสวย และเก่ง ถ้าขาดเธอไปผมคง.............. ไม่ต้องพูดถึงเลย
เมื่อกลับมาถึงผมก็เริ่มต้นวางแผนที่จะนำสินค้ามาจำหน่ายทันทีที่สินค้าจะตามมาถึง
ไว้มีโอกาสจะมาเล่าความคืบหน้าให้อ่านกันต่อครับ
ขอบคุณครับสำหรับเพื่อนๆที่เข้ามาอ่านและติดตามความคืบหน้า
BY เค กมลชนก